บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เผยขาดทุนสต๊อกน้ำมัน 200 ล้านบาท ในวันแรกที่ลดราคาน้ำมันหน้าปั๊มภายใต้มาตรการปรับลดภาษีน้ำมัน 3 บาทต่อลิตรของรัฐบาล เชื่อกระทบระยะสั้น แต่ผู้ค้าได้ประโยชน์ระยะยาว จากยอดใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นและยอดค้าปลีกในปั๊มสูงขึ้น
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า มาตรการลดภาษีน้ำมัน 3 บาทต่อลิตรของรัฐบาล ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2565-20 พ.ค. 2565 โดยแบ่งเป็นการปรับลดราคาน้ำมันหน้าปั๊ม 2 บาทต่อลิตรและเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1 บาทต่อลิตรนั้น ส่งผลให้ OR ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 200 ล้านบาท ในวันแรกของการปรับลดราคา แต่ OR เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในระยะยาว
เนื่องจากการปรับลดราคาน้ำมันส่งผลให้ประชาชนหันมาเดินทางและใช้น้ำมันของ OR มากขึ้น ทำให้ยอดจำหน่ายสูงขึ้น รวมทั้งธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน(Non-oil) ทั้งร้านค้าปลีกและร้านต่างๆในปั๊ม มียอดขายสูงขึ้นตามไปด้วย โดยปัจจุบัน OR ยังครองส่วนแบ่งตลาดน้ำมันเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย และจะขยายธุรกิจต่อไปเพื่อรักษามาตรฐานและส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ต่อไปในระยะยาว อย่างไรก็ตาม OR คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2565 จะอยู่ในระดับ 75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีปัญหาทางการเมืองในประเทศเมียนมานั้น OR มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเมียนมา แต่ยังไม่ได้เปิดดำเนินการ ดังนั้นจึงได้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน ถ้าสถานการณ์ในประเทศเมียนมากลับมาปกติแล้ว ทาง OR ก็พร้อมก้าวเดินต่อไปทันที แต่ทั้งนี้ต้องรอการกำหนดทิศทางการลงทุนของกลุ่ม ปตท. ต่อประเทศเมียนมาต่อไปด้วย
อย่างไรก็ตามในวันที่ 28 ก.พ. 2565 OR เตรียมประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ของ OR เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับสังคมอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนการลงทุนของ OR ในอีก 5 ปี (2565-2569) จากนี้ คณะกรรมการ(บอร์ด) OR ได้อนุมัติเงินลงทุนไว้แล้ว 93,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ Mobility ,ธุรกิจ Lifestyle , ธุรกิจ Global , กลุ่มธุรกิจ Innovation & New Business เป็นต้น
สำหรับปั๊ม ปตท. ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 2,439 แห่ง เป็นปั๊มในไทย 2,080 แห่ง และอีก 359 แห่งอยู่ในต่างประเทศ โดยในปี 2565 นี้มีแผนจะขยายเพิ่มอีก 129 แห่ง และขยายธุรกิจร้านคาเฟ่ อเมซอนอีก 389 แห่ง จากปัจจุบันมีในไทยอยู่ 3,600 แห่ง ส่วนปั๊มชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า(EV)จะขยายเพิ่มอีก 200 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 100 แห่ง