โรงกลั่นน้ำมันภาคเอกชน เชื่อรัฐมีนโยบายสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในยามฉุกเฉิน แต่ปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน แนะรัฐจับมือเอกชนศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกัน
นางสาวเชาว์ศรี เหลืองรัตนากร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกลยุทธ์ นโยบาย และพัฒนาธุรกิจบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) เปิดเผยถึงกรณีภาครัฐมีนโยบายศึกษาการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (SPR)ว่า เชื่อว่านโยบาย SPR ของภาครัฐ เกิดจากความต้องการรักษาความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภาวะสงครามในต่างประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันของโลก และอาจเป็นเหตุให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันได้
อย่างไรก็ตามการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญและจะมีผลเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตน้ำม้นด้วย ดังนั้นคงต้องรอความชัดเจนในรายละเอียดก่อนว่า ใครจะเป็นผู้จัดเก็บสำรองน้ำมัน หรือแบ่งสัดส่วนการสำรองน้ำมันระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างไร ซึ่งปัจจุบันภาครัฐยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลออกมาทั้งหมด
ทั้งนี้เชื่อว่าก่อนนโยบายดังกล่าวจะออกมา ทางภาครัฐคงต้องหารือกับผู้ค้าน้ำมันก่อน หรืออาจจะต้องมาศึกษาร่วมกันเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกันในทางปฏิบัติ เบื้องต้นปัญหาสำคัญที่ต้องคำนึงถึงหากต้องการให้เอกชนสำรองน้ำมันร่วมกับภาครัฐคือ ปัญหาด้านพื้นที่สร้างคลังจัดเก็บและสำรองน้ำมัน โดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมันที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ อาจไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะขยายคลังเก็บน้ำมันได้
โดยในส่วนของ SPRC ปัจจุบันได้สำรองน้ำมันดิบตามกฎหมาย 6% ของการจำหน่าย หรือสำรองได้ 21 วัน ซึ่งในส่วนนี้ SPRC ไม่สามารถนำออกมาจำหน่ายได้ เพราะต้องเก็บไว้ในกรณีฉุกเฉินที่ภาครัฐเห็นควรให้นำออกมาจำหน่ายได้เท่านั้น ขณะที่คลังเก็บน้ำมันของ SPRC ปัจจุบันมีถึง 7 คลัง หรือ 4.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งสร้างขึ้นเต็มพื้นที่ของโรงกลั่นน้ำมันแล้ว หากต้องสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์อีกจะประสบปัญหาไม่มีพื้นที่เพียงพอในการก่อสร้างได้
ดังนั้นนโยบายการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ของภาครัฐ จำเป็นต้องหารือกับภาคเอกชนก่อนและอาจจะศึกษาข้อมูลร่วมกันก่อนก็ได้
ขณะนี้ภาคเอกชนยังไม่เห็นข้อมูลที่ชัดเจนจากภาครัฐแต่อย่างใด จึงต้องรอให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลออกมาก่อน จึงจะพิจารณาได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนอย่างไรต่อไป
สำหรับปัจจุบันภาครัฐกำหนดให้โรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันตามกฎหมายดังนี้ โรงกลั่นน้ำมันต้องสำรองน้ำมันดิบ 6% ของปริมาณการจำหน่าย ส่วนผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันสำเร็จรูป 1% ของปริมาณการจำหน่าย ซึ่งรวมแล้วภาคเอกชนมีการสำรองน้ำมัน 7% หรือเท่ากับมีน้ำมันสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฺฉินได้ 25 วัน