โรงกลั่นน้ำมัน​ SPRC​ เผยขาดทุนสต็อกในไตรมาส​ ​​​4/2565​ หลังราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง

550
- Advertisment-

ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้​โรงกลั่นน้ำมัน​SPRC ขาดทุนสต็อกน้ำมัน​โดยไตรมาสที่ 4/2565 ขาดทุนสุทธิ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเทียบกับไตรมาสที่ 3/2565 ที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 137 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม​ ปี​2565​ มีการปันผลรวม​ 132.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะทำการยื่นเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ให้พิจารณาอนุมัติในวันที่ 5 เมษายน 2566

นายโรเบิร์ต โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC​ เปิดเผยว่า​ การขาดทุนในไตรมาสที่ 4/2565 มีปัจจัยสำคัญจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน ประกอบกับส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินต่อน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งได้รับแรงกดดันจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากจีนแผ่นดินใหญ่และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ค่าการกลั่นตลาดร่วงลงเล็กน้อยจาก 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสที่ 3/2565 เป็น 5.39 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสที่ 4/2565

อย่างไรก็ตาม SPRC ยังคงรักษาระดับการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการภายในประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับปริมาณการกลั่นน้ำมันดิบ ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 163 พันบาร์เรลต่อวัน หรือ 93% ของกำลังการกลั่น ซึ่งสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า

- Advertisment -

ปี 2565 SPRC มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 222 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 ค่าการกลั่นตลาดของปี 2565 ที่ไม่รวมผลกำไรและขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 9.64 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 3.66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในปี 2564 การเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นนี้เป็นผลมาจากส่วนต่างราคาน้ำมันดิบต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่พุ่งสูงขึ้น โดยมีสาเหตุจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง

ในวันเดียวกันนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งที่ 1/2566 และมีมติเสนอจ่ายเงินปันผลของปี 2565 จำนวน 132.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะทำการยื่นเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ให้พิจารณาอนุมัติในวันที่ 5 เมษายน 2566 โดยหลังจากการหักลบเงินปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2565 จำนวน 112.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.96 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำการจ่ายไปแล้วเมื่อ วันที่ 8 กันยายน 2565 ดังนั้น เงินปันผลคงเหลือที่จะจ่ายเพิ่มเติม คือ 19.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือแปลงเป็นเงินบาทเทียบเท่ากับ 0.15 บาทต่อหุ้น โดยการแปลงจากดอลลาร์สหรัฐเป็นบาท จะใช้อัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทยย้อนหลัง 7 วันทำการของธนาคาร ก่อนวันที่มีหนังสือบอกกล่าวการประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ

บริษัทฯ จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 10 มีนาคม 2566 โดยกำหนดวันจ่ายเงินเป็นวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 แล้ว

Advertisment