รัฐยังไม่มีนโยบายเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนพื้นดิน หรือ โซลาร์ฟาร์ม เพิ่มเติมจากแผน โดยระบุโครงการที่ กฟผ.ร่วมมือกับกองทัพบก นำร่อง 300 เมกะวัตต์ และในส่วนของ SPCG ที่จับมือกับบริษัทพีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ในเครือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA.) จัดตั้งบริษัท SET Energy จำกัด เพื่อดำเนินการโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะยังไม่สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จนกว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จะมีมติเห็นชอบ ในขณะที่แหล่งข่าวใน กกพ.ระบุการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มโครงการใหม่เข้าระบบ ควรจะเปิดให้ประมูลแข่งขัน เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อค่าไฟฟ้ากับประชาชน
แหล่งข่าวในคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาระบุถึงโครงการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนพื้นดิน หรือ โซลาร์ฟาร์ม ขนาดใหญ่ ทั้งในส่วนของโครงการที่ กฟผ.ร่วมมือกับกองทัพบก นำร่อง 300 เมกะวัตต์ และในส่วนของ SPCG ที่จับมือกับบริษัทพีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ในเครือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA.) จัดตั้งบริษัท SET Energy จำกัด เพื่อดำเนินการโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC ) ว่า การดำเนินการดังกล่าว จะต้องเป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองเท่านั้น ไม่สามารถที่จะขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ เนื่องจากตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศหรือ PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 รัฐยังไม่มีนโยบายที่จะรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์มเข้าระบบเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ที่เป็นการติดตั้งบนหลังคา และโครงการโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนของ กฟผ. ที่มีบรรจุอยู่ในแผนแล้วเท่านั้น
ทั้งนี้หากโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ดังกล่าว จะขายไฟฟ้าเข้าระบบหลักได้ จะต้องมีการบรรจุเอาไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ หรือ PDP2022 ที่อยู่ในระหว่างการเตรียมการจัดทำ ที่ต้องมีการเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะรัฐมนตรี เสียก่อน ทาง กกพ.จึงจะมีการออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าได้ตามนโยบาย โดยเห็นว่าหากมีนโยบายให้รับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มจริง ราคาไฟฟ้าที่รับซื้อจะต้องต่ำกว่า 1.68 บาทต่อหน่วย และต้องเป็นในรูปแบบแข่งขันเสนอขายไฟฟ้าเข้ามาเท่านั้น เพื่อให้ได้ราคาเสนอขายต่ำสุดและเป็นประโยชน์ต่ออัตราค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ
สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เข้าระบบในปี 2564 มีเพียงโครงการโซลาร์ภาคประชาชน เท่านั้นที่ กกพ.เปิดรับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบจำนวน 50 เมกะวัตต์ ในราคา 2.20 บาทต่อหน่วย อายุสัญญา 10 ปี โดยเริ่มไปแล้วตั้งแต่ 1 ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา ส่วนโครงการโซลาร์นำร่อง 50 เมกะวัตต์ สำหรับกลุ่มโรงพยาบาล 20 เมกะวัตต์, โรงเรียน 20 เมกะวัตต์ และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร 10 เมกะวัตต์ ราคารับซื้อที่ 1 บาทต่อหน่วย ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 นั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างหารือกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center –ENC ) รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับกองทัพบก (ทบ.) ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมที่อยู่ในการดูแลของ ทบ. จำนวน 4.5 ล้านไร่ โดยจะเลือกพื้นที่นำร่องโครงการก่อนปริมาณ 300 เมกะวัตต์ รวมถึงกรณีบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCGจับมือกับบริษัทพีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ในเครือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA.) จัดตั้งบริษัท SET Energy จำกัด เพื่อดำเนินการโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 2564-2569 ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
โดยตามแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) กำหนดให้มีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้าระบบได้รวม 9,290 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 ซึ่งน้อยกว่าแผน PDP2018 ฉบับเดิม ที่กำหนดไว้ว่าจะมีปริมาณรวม 12,725 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้าระบบแล้วประมาณ 2,849 เมกะวัตต์ ซึ่งส่วนที่เหลือยังไม่มีการระบุถึงโครงการโซลาร์ฟาร์มบนพื้นดินโครงการใหม่ รวมอยู่ในแผนด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน บริษัท SPCG ชี้แจงถึงการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มเฟสแรก 500 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ว่าเป็นการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( กพอ.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2563 ซึ่งได้เห็นชอบในหลักการโครงการจัดหาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) ในพื้นที่ EEC โดยมอบหมายให้ทาง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( สกพอ.) เสนอกระทรวงพลังงานนำเข้าบรรจุในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) และให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หารือกับกระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม ทั้งนี้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จะจำหน่ายเฉพาะในพื้นที่ EEC โดยผสมผสานร่วมกับการทำการเกษตรในพื้นที่
ทั้งนี้ในมติ กพอ. ที่รายงานให้ ครม.รับทราบแล้วถือว่ามีผลผูกพัน กับกระทรวงและหน่วยงานทุกหน่วยที่เป็นกรรมการอยู่ด้วย ซึ่งล้วนแต่เป็นกระทรวงและหน่วยงานที่สำคัญ อาทิ กระทรวงการคลัง พลังงาน อุตสาหกรรม เกษตรและสหกรณ์ คมนาคม พาณิชย์ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แรงงาน สาธารณสุข ศึกษาธิการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาดไทย กลาโหม รวมทั้ง สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ