บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เผยทิศทางลงทุนปี 2566 ตั้งงบ 3 หมื่นล้านบาท เดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ 1,000 เมกะวัตต์ ยังคงมุ่งเน้นพลังงานสะอาด เตรียมเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของภาครัฐให้ได้ 1,000 เมกะวัตต์ ทั้งโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ฟาร์มรวมแบตเตอรี่ พร้อมเดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน 5 เมกะวัตต์ได้ ปี 2566 นอกจากนั้น ยังให้ความสนใจศึกษาการพัฒนาพลังงานสะอาดร่วมกับซาอุดีอาระเบีย เผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตต่อเนื่อง มีกำไร 10,345 ล้านบาท
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป (EGCO) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 เอ็กโก ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น จาก 22% ในปัจจุบัน ให้เป็น 30% ในปี ค.ศ. 2030 โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอยู่ 1,424 เมกะวัตต์ โดยเอ็กโก เตรียมจะเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อยู่ระหว่างกระบวนการเปิดรับซื้อไฟฟ้า 5,203 เมกะวัตต์ โดยตั้งเป้าจะแข่งขันกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ในรูปแบบโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับแบตเตอรี่ และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน เบื้องต้นเอ็กโกมีความพร้อมในด้านของพื้นที่เกือบทุกภาค ทั้งที่เป็นพื้นที่ของเอ็กโกเอง และพื้นที่ที่ร่วมกับผู้ร่วมทุน รวมทั้งได้ตรวจสอบระบบสายส่งไฟฟ้าแล้ว พบว่ามีความพร้อมรองรับไฟฟ้าของเอ็กโกได้
นอกจากนี้เอ็กโกยังคงมุ่งเน้นการลงทุนด้านโรงไฟฟ้าไฮโดรเจน เนื่องจากเป็นทิศทางใหม่ของโลก และราคาเริ่มแข่งขันได้ โดยการลงทุนในโครงการนำร่องผลิตไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้า “คลองหลวง” จ.ปทุมธานี กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนได้ในปี 2566 โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม และความต้องการจากลูกค้าอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม เอ็กโก ยังเตรียมพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมลงทุนกับซาอุดีอาระเบีย ตามข้อตกลงร่วมด้านพลังงานระหว่างกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกระทรวงการลงทุนของซาอุฯ เพื่อพัฒนาส่งเสริมพลังงานสะอาด
นายเทพรัตน์ กล่าวว่า สำหรับงบลงทุนปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป ตั้งงบประมาณอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท เพื่อจะแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง ในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่อีก 1,000 เมกะวัตต์ ภายใต้แนวคิด “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” โดยมุ่งขยายธุรกิจไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศจะนำโดย “เอเพ็กซ์”ขณะที่การลงทุนในประเทศ เอ็กโก้ จะเข้าร่วมประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนของภาครัฐกว่า 1,000 เมกะวัตต์
อีกทั้ง บริษัทจะบริหารสินทรัพย์และโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและปลดปล่อยคาร์บอนฯ ให้น้อยที่สุด ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯและนำมาใช้กับโรงไฟฟ้า เช่น เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage – CCS) และการศึกษาเพื่อนำแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมเพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนฯ เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลง 10% ภายในปี พ.ศ. 2573
“ปีหน้า จะมีกำลังการผลิตใหม่ที่ทยอย COD เพิ่มเติม เช่น โรงไฟฟ้า “หยุนหลิน” ในไต้หวัน โรงไฟฟ้า APEX ในสหรัฐ และโรงไฟฟ้า EGCO Cogen หรือต้องหากำลังผลิตใหม่เพิ่มประมาณ 800 เมกกะวัตต์”
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 นี้ คาดว่าจะเติบโตกว่าปี 2564 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ลดลง ส่งผลให้ดีมานด์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ก็เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะเดียวกันบริษัท ยังได้ประโยชน์จากการทยอย COD โรงไฟฟ้าใหม่เพิ่ม และโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ที่มีประสิทธิภาพในการจ่ายไฟฟ้าในระดับสูง
ทั้งนี้ เอ็กโก กรุ๊ป มีผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตต่อเนื่อง มีกำไรจากการดำเนินงาน 10,345 ล้านบาท ปัจจัยหนุนจากรายได้ค่าขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ต่อเนื่อง ด้วยการซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม “ไรเซ็ก” (RISEC) รัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งความสำเร็จในการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างบริษัทในกลุ่ม กฟผ. และกระทรวงการลงทุน แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในด้านพลังงานสะอาด
โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 46,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงาน 10,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,290 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า “พาจู อีเอส” มีรายได้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่โรงไฟฟ้า “ขนอม” โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” และโรงไฟฟ้า “แก่งคอย 2” มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2565
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,377 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวมสูงถึง 1,424 เมกะวัตต์ ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (“ทีพีเอ็น”) โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” ตลอดจนยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน (“เพียร์ พาวเวอร์”) บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม (“อินโนพาวเวอร์”)