สส. ฝ่ายค้านแถลงจี้นายกฯ ยกเลิกรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวทั้ง 2 เฟส ชี้ทำค่าไฟฟ้าแพง แนะเปลี่ยนใช้ระบบ Direct PPA แทน

167
- Advertisment-

สส.พรรคประชาชน แถลงจี้ นายกฯ ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟสแรก รอบ 5,200 เมกะวัตต์ และเฟส 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์  ใน “โครงการการพลังงานหมุนเวียนแบบ Feed-in Tariff”  ชี้พบข้อมูลส่อทุจริต แบบทุนผูกขาด ทำค่าไฟฟ้าแพง แนะรัฐบาลเปลี่ยนมาสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าแบบ Direct PPA ที่ตอบโจทย์นักลงทุนและไม่เป็นภาระต่อประชาชน

วันที่ 24 เม.ย. 2568 ที่รัฐสภา นายวรภพ วิริยะโรจน์ และ นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าวกรณี “รัฐบาลลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าเอื้อนายทุนพลังงาน ทำประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพง และจ่ายยาวๆ ไปอีก 25 ปี” โดยระบุ ว่า กรณีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแบบ Feed-in Tariff (ไฟฟ้าสีเขียว) รอบ 5,200 เมกะวัตต์ และรอบเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ ที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังสานต่อขบวนการค่าไฟฟ้าแพงจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบดังกล่าว พบความผิดปกติหลายประการ ทั้งการรับซื้อที่แพงเกินจริงเพราะไม่มีการเปิดประมูลราคารับซื้อ กระบวนการคัดเลือกที่เปิดช่องให้เกิดการทุจริตและดุลพินิจในการคัดเลือกเอกชนรายใดก็ได้ จากการที่ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนทางเทคนิคออกมาล่วงหน้า และดึงดันจะดำเนินการต่อทั้งที่พบความผิดปกติและมีแนวทางอย่างอื่นที่มีประสิทธิภาพกว่าอย่าง Direct PPA

นายวรภพ มองว่าสาเหตุของปัญหาการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบนั้น เริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาลประยุทธ์ เมื่อปี 2565 จำนวนกว่า 5,200 เมกะวัตต์ และรอบเพิ่มเติมอีกกว่า 3,600 เมกะวัตต์ ในขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยล้นอยู่แล้ว สังเกตได้จากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่กว่า 7 จากทั้งหมด 13 โรง ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเลยแม้แต่วันเดียว

- Advertisment -

อีกทั้งการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งสองรอบเกือบ 9,000 เมกะวัตต์ดังกล่าว ยังไม่มีการประมูลราคารับซื้อไฟฟ้า ทำให้ราคารับซื้อต่อหน่วยแพงกว่าต้นทุนที่ควรจะเป็น (แสงอาทิตย์ 2.2 บาทต่อหน่วย, ลม 3.1 บาทต่อหน่วย) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงให้ราคาค่าไฟฟ้าในอนาคตของประชาชนสูงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งระเบียบหลักเกณฑ์และกระบวนการรับซื้อยังมีความผิดปกติอย่างอื่นอีก เช่น ไม่ประกาศหลักเกณฑ์การคัดเลือกล่วงหน้า ไม่อนุญาตให้รัฐวิสาหกิจเข้าร่วม ทำให้ในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ กลุ่มทุนพลังงานรายใหญ่รายเดียวได้สัมปทานไปกว่า 41%

ต่อมาในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย ตัวเองและเพื่อน สส. ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเรียกร้องทั้งในและนอกสภาฯ เพื่อให้รัฐบาลตรวจสอบและยกเลิกการรับซื้อที่ผิดปกติดังกล่าว แต่รัฐบาลกลับละเลยต่อข้อพิรุธการทุจริตเชิงนโยบายและปล่อยให้การรับซื้อไฟฟ้าในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ เซ็นสัญญาไปกว่า 4,000 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกัน การรับซื้อไฟฟ้ารอบเพิ่มเติมจำนวน 3,600 เมกะวัตต์ ได้มีการออกระเบียบการรับซื้อเพิ่มโดยล็อค โควตา 2,168 เมกะวัตต์ ให้ผู้ผ่านเกณฑ์ที่ไม่ได้รับเลือกในรอบแรกเท่านั้น สะท้อนถึงความผิดปกติที่เอื้อต่อการทุจริต แม้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จะมีอำนาจในการ “ชะลอหรือยกเลิกได้” ” แต่ก็ปล่อยให้การรับซื้อรอบแรกดังกล่าวเซ็นสัญญาไปเกือบหมด แม้จะมีการชะลอการรับซื้อในรอบเพิ่มเติมไว้จากแรงกดดันของสังคมและสื่อมวลชน แต่ปัจจุบันผ่านมา 3 เดือนแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า

ด้าน นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า การรับซื้อไฟฟ้าจากทั้งสองรอบดังกล่าว จะส่งผลให้ค่าไฟแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพราะกระบวนการคัดเลือกมีปัญหา ส่อทุจริต และส่งผลให้เกิดการผูกขาดในภาคพลังงาน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี ตัวเองและพรรคได้ทักท้วงการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบดังกล่าวมาตลอด แต่ผลที่ได้กลับเป็นการเมินเฉยจากรัฐบาล แม้จะมีการชะลอการรับซื้อในรอบเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ แต่ในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ กลับปล่อยให้มีการเซ็นสัญญามาเรื่อย ๆ จนเกือบครบทั้งหมดในวันที่ 18 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา ทั้งที่รู้ว่าหากมีการเซ็นสัญญาแล้วจะยกเลิกสัญญาได้ยากขึ้นและเป็นภาระให้ประชาชนไปอีก 25 ปี

นอกจากนี้ นายศุภโชติ ยังตอบประเด็นที่รัฐบาลออกมาชี้แจง 3 ประเด็น ดังนี้ กรณีที่กระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า ไม่สามารถยกเลิกการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ เนื่องจากจะไม่ยุติธรรมกับเอกชนบางกลุ่มนั้น พรรคประชาชน เห็นว่าแม้ รัฐบาลอ้างว่าหากยกเลิกสัญญาจะไม่ยุติธรรมต่อเอกชน แต่ฝ่ายค้านมองว่าควรให้ความสำคัญกับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า เพราะโครงการนี้มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสและต้นทุนที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ประกาศรับซื้อกับเอกชน รัฐมีอำนาจตามข้อ 39 ให้นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งยกเลิกได้หากยังไม่มีการเซ็นสัญญา เหมือนที่เคยสั่งชะลอโครงการ 3,600 เมกะวัตต์มาแล้ว

ส่วนกรณีกระทรวงพลังงานชี้แจงว่า ราคาที่ใช้ในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ มีความเหมาะสมแล้วนั้น ทางพรรคประชาชนเห็นว่า ราคาดังกล่าว “แพงเกินจริง” แม้จะต่ำกว่าค่าไฟขายส่งเฉลี่ย แต่ไม่สะท้อนต้นทุนที่ลดลงตามเทคโนโลยีในปัจจุบัน รัฐยังใช้ระบบกำหนดราคากลางโดยไม่เปิดประมูล ทำให้ขาดการแข่งขันและอาจเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนที่ได้รับสัมปทาน

และกรณีกระทรวงพลังงานอ้างว่า ต้องซื้อไฟฟ้าเพิ่มเพื่อสนับสนุนเป้าหมายลดคาร์บอนและตอบโจทย์อนาคตพลังงานสะอาดของประเทศ ทางพรรคประชาชนเห็นว่า แม้การเพิ่มพลังงานสะอาดจะช่วยลดคาร์บอนได้จริง แต่พรรคประชาชนเสนอทางเลือกที่ไม่สร้างภาระให้ประชาชน เช่น “Direct PPA” ซึ่งเปิดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขายตรงให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ต้องบวกค่าไฟให้เป็นภาระประชาชน แต่กลับถูกจำกัดไว้เฉพาะบางกลุ่มธุรกิจ และยังไม่สามารถใช้งานได้จริง ทั้งที่ผู้ประกอบการรอคอยมากกว่า 10 เดือนแล้ว

ทั้งนี้ทางพรรคประชาชน ขอเสนอแนวทางและเป้าหมายในการผลักดันประเด็นนี้ต่อ โดยยืนยันว่าจะเดินหน้าดำเนินการผ่านทุกช่องทางทางกฎหมายที่สามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งการรับซื้อไฟฟ้าทุกรอบที่ดำเนินการโดยไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งขอให้ประชาชนร่วมติดตามการดำเนินการของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ทั้งในส่วนของรอบแรกจำนวน 5,200 เมกะวัตต์ ที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้วเกือบครบทุกโครงการ และรอบเพิ่มเติมอีก 3,600 เมกะวัตต์ ที่ถูกสั่งชะลอไว้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลจะมีแนวทางจัดการอย่างไร

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบโดยสิ้นเชิงและเพิ่มโควตา Direct PPA ที่ตอบโจทย์นักลงทุนและไม่เป็นภาระต่อประชาชน

Advertisment