“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีพลังงานประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงานครั้งสุดท้าย พร้อมแถลงข่าวอำลาตำแหน่ง โดยหวังว่าโครงการที่ได้เริ่มต้นไว้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจะได้รับการสานต่อ ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน การประกาศเชิญชวนประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบ 23 ในสัปดาห์หน้า การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค
วันนี้ 17 ก.ค. 2563 ในช่วงเช้านายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทำพิธีสักการะศาลพระพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำเอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ที่ตั้งของกระทรวงพลังงาน โดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นำผู้บริหารจากทุกกรม กอง ของกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมพิธีและร่วมประชุมครั้งสุดท้ายอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งนายสนธิรัตน์ถือเป็นรัฐมนตรีพลังงานที่บริหารงานกระทรวงพลังงานมาครบ 1 ปีพอดี นับจากวันที่ 18 ก.ค. 2562 ที่เข้ามาบริหารงานในกระทรวงพลังงานวันแรก
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา งานสำคัญที่ได้เริ่มต้นไว้ มี 2 เสาหลัก คือ 1. นโยบายพลังงานเพื่อทุกคน Energy for all ที่ใช้เรื่องพลังงานมาช่วยขับเคลื่อน เศรษฐกิจชุมชน โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่ง หัวใจที่แท้จริงของโครงการดังกล่าว คือการปลูกพืชพลังงาน ที่จะช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคง จากการขายพืชพลังงาน โดยเฉพาะ พื้นที่ที่มีความพร้อม อยู่ปลายระบบสายส่ง ที่ควรจะได้ดำเนินโครงการนี้ก่อน และถ้าจะให้สำเร็จต้องยึดตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เพราะถ้าเอาเรื่องเงินลงทุนเป็นตัวตั้ง จะมีปัญหา เนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนไม่ได้สูงมาก แต่หลายคนอยากจะเข้ามาทำเรื่องนี้ เพื่อจะเอาสัญญาไปขายต่อ จึงต้องฝาก ปลัดกระทรวงพลังงานให้ดูแลเรื่องนี้ โดยหวังว่าโครงการจะได้รับการสานต่อ โดยรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่
ทั้งนี้ ยืนยันว่าโครงการนำร่องโรงไฟฟ้าชุมชนของรัฐวิสาหกิจ เช่น โรงไฟฟ้าชุมชนที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ , อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของกฟผ. และที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ,อ.บันนังสตา จ.ยะลา ของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) จะยังคงเดินหน้าดำเนินการไปตามแผน
สำหรับเสาหลักที่สอง คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค ทั้งฮับแอลเอ็นจี และฮับซื้อขายไฟฟ้า นั้น เห็นว่า การปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ ควรต้องพิจารณาโครงสร้างต้นทุนไฟฟ้า เป็นเป้าหมายหลัก เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น
โดยกฟผ.เริ่มต้นที่จะตั้งบริษัทมาทำเรื่องเทรดดิ้งไฟฟ้าในอาเซียน ส่วนฮับแอลเอ็นจี ของปตท. อีก 2 เดือน น่าจะเริ่มต้นได้
นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่า น่าเสียดายที่วิกฤตโควิด -19 ส่งผลให้การดำเนินงานที่สำคัญหลายเรื่องของกระทรวงพลังงานเกิดความล่าช้าไป 3 เดือน เช่น การประกาศเชิญชวนผู้สนใจประมูลรับสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 23 ที่ควรจะคิกออฟได้ในเดือนเม.ย.2563 และล่าสุดก็หารือกับอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติแล้ว ว่าจะลงนามเพื่อออกประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้ามาประมูลในวันที่ 23 ก.ค. 2563 นี้แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและต้องลาออกจากตำแหน่งก่อน จึงคงต้องรอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่มาพิจารณา รวมทั้งเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยและกัมพูชา ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศต่อไปได้ อีก 30 ปีข้างหน้า ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่จะต้องมาดำเนินการต่อเช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องของการอนุมัติงบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 5,600 ล้านบาทนั้น ยืนยันว่าสามารถดำเนินการต่อเนื่องได้แม้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนฯ จะลาออกจากตำแหน่งก็ตาม เนื่องจากมีกรอบการดำเนินงานและผู้ดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะมานั่งเป็นประธานแทน
” ในฐานะผู้บริหารการเมืองไม่มีสิทธิ์กังวลในงานต่างๆของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นไปตามกลไกวาระงานทางการเมือง ส่วนผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หากเป็นนักบริหาร จะช่วยให้การกำหนดทิศทางนโยบายทำได้ง่ายขึ้น เพราะการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของข้าราชการประจำ ที่จะเป็นฝ่ายให้ข้อมูล ข้อเสนอแนะ และการปฏิบัติ อยู่แล้ว “
“กระทรวงพลังงาน มีศักยภาพมาก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ สาธารณะตรวจสอบเข้มข้น ดังนั้นอย่าไปเป็นห่วงอะไรด้านลบๆ เกี่ยวกับว่าจะแย่งตำแหน่งกัน อย่าไปขยายข่าว ให้กระทรวงมันวุ่นวาย โดยตลอด 1 ปีที่ทำงาน ยังไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรที่เสียหาย ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุด ” นายสนธิรัตน์ กล่าว
สำหรับคำถามว่าหลังจากการลาออก จะไปทำงานการเมืองหรือไม่นั้น ยังไม่ได้คิด ตอนนี้ใครชวนไปกินกาแฟ ก็ไปให้ข้อเสนอแนะได้เพราะ มีประสบการณ์ ส่วนงานด้านประชาสังคมนั้น เป็นงานที่ทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว