พลังงานพร้อมจับมือเอกชนเดินหน้าส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน

667
- Advertisment-

กระทรวงพลังงานจัดประชุมคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอนของประเทศ นัดแรก พร้อมร่วมมือเอกชนสนับสนุนและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี CCUS เพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)

วันนี้ (19 ตุลาคม 2565) กระทรวงพลังงาน จัดการประชุมคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอนของประเทศ เป็นครั้งแรก ณ ห้องประชุม 9 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านพลังงาน เศรษฐกิจอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุม

โดยการประชุมในวันนี้ มีผลมาจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ชุดดังกล่าว โดยให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดูดซับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHGs Emission) ในปี พ.ศ. 2608 ตามที่ประเทศไทยโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเป้าหมายไปเมื่อการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP 26)  ณ กรุงกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร 
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอนของประเทศ

นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการ ประกอบด้วยผู้แทนต่าง ๆ ทั้งจากภาคพลังงานและอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในองค์รวมของประเทศไทยได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เป็นคณะอนุกรรมการและเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ตลอดจนมีความเข้าใจในกระบวนการทางด้านธรณีวิทยาปิโตรเลียม และวิศวกรรมปิโตรเลียม โดยเฉพาะการบริหารจัดการแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมใต้ผิวดิน ซึ่งสามารถนำความรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในการวางแผน การศึกษา วิจัย และการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากทั้งภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรม มากักเก็บในชั้นหินทางธรณีวิทยาใต้ผิวดินได้

- Advertisment -
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้พยายามผลักดันให้เกิดความร่วมมือในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดักจับการใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอนของประเทศ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) โดยรวบรวมโครงการการดำเนินงานในประเทศไทยที่ผ่านมา พร้อมกับแผนงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการด้านการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ และเชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน CCUS จากองค์กรทั้งในและต่างประเทศ อาทิ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัดJapan Oil,Gas and Metals National Corporation (JOGMEC), Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) ประเทศญี่ปุ่น , สหราชอาณาจักร และอื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และแนวทางการพัฒนา พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับนานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและผลักดันการดำเนินงานและพัฒนา CCUS ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

“การประชุมคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวนี้ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อร่วมกันพิจารณา เสนอแนะ และให้ข้อคิดเห็นต่อแผนการดำเนินการด้านเทคโนโลยี CCUS ในภาพรวมของประเทศ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเป็นโอกาสของประเทศไทยในการร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี CCUS เพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งในระยะต่อไป หน่วยงานต่าง ๆ จะมีการแต่งตั้งคณะทำงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ประเทศก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สอดรับกับนโยบายรัฐบาล อีกทั้งยังจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

สำหรับความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) นั้น คือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ ซึ่งมีการดำเนินงานในสองแนวทาง คือ 1. การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา อาทิ การปลูกป่าเพื่อเพิ่มจำนวนต้นไม้ และ 2. การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ คือ การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนที่มากขึ้น และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการยกระดับในทุกภาคส่วน ทั้งโรงไฟฟ้า ภาคขนส่ง ภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม
สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เป็นคณะอนุกรรมการและเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ
Advertisment