กระทรวงพลังงาน ส่งสัญญาณเลิกจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 โดยดันราคาจำหน่ายปลีก ให้สูงขึ้นกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 แล้ว และเตรียมส่งแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับใหม่ให้รัฐมนตรีพลังงานพิจารณา โดยจะกำหนดให้จำหน่ายน้ำมัน 2 ชนิดเป็นหลัก คือ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และดีเซลB7 พร้อมให้ดีเซล B20 เป็นน้ำมันทางเลือก ด้านคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ปรับลดเงินชดเชยราคาดีเซลลงเหลือ 4.17 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันโลกเริ่มลดลง
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center -ENC) รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันว่า ปัจจุบันราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยล่าสุด ณ วันที่ 30 ต.ค. 2566 พบว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ที่ภาครัฐเคยสนับสนุนให้ประชาชนใช้ กลับมีราคาสูงขึ้นกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 แล้ว โดยแก๊สโซฮอล์ E85 ราคาอยู่ที่ 36.09 บาทต่อลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล์ E20 ราคาอยู่ที่ 35.94 บาทต่อลิตร
ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ก็มีราคาสูง โดยจำหน่ายอยู่ที่ 38.25 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 จำหน่ายที่ 37.98 บาทต่อลิตร ขณะที่ดีเซลจำหน่ายอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร
โดยแหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน ระบุว่า การที่ราคาแก๊สโซฮอล์ E85 สูงกว่า แก๊สโซฮอล์ E20 นั้น ถือว่ากระทรวงพลังงานเริ่มส่งสัญญาณเตรียมจะยกเลิกการจำหน่าย แก๊สโซฮอล์ E85 ในอนาคต ซึ่งตาม “แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ Oil Plan” ฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันต้องจำหน่ายน้ำมัน 2 ชนิดเป็นหลัก คือ แก๊สโซฮอล์ E20 (น้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอล 20% ในทุกลิตร) และน้ำมันดีเซล B7 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 7% ในทุกลิตร) ส่วนน้ำมันดีเซล B20 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 20% ในทุกลิตร) ให้จำหน่ายเป็นน้ำมันทางเลือก
ผู้สื่อข่าว ENC รายงานว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของน้ำมันดีเซลนั้น เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้ปรับลดการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลลง จากเดิมชดเชยราคาอยู่ที่ 4.89 บาทต่อลิตร ปรับลดเหลือ 4.17 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่ยังคงต้องชดเชยราคาต่อไป เพื่อให้ราคาขายปลีกดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร จนถึงสิ้นปี 2566 นี้ตามนโยบายรัฐบาล
ขณะที่สถานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดที่รายงานโดย สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ณ วันที่ 22 ต.ค. 2566 พบว่าสถานะกองทุนฯ เริ่มติดลบมากขึ้น โดยติดลบรวม 72,223 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบ 27,082 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,146 ล้านบาท
ขณะที่ราคาน้ำมันตลาดโลก ล่าสุด ณ วันที่ 30 ต.ค. 2566 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาปรับลดลงเล็กน้อย โดยราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 89.64 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 84.11 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.43 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 89.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งมีโอกาสที่กองทุนฯ จะลดการชดเชยราคาดีเซลลงได้อีกเพื่อบรรเทาปัญหาเงินไหลออกของกองทุนฯ
อย่างไรก็ตามเมื่อมาดูในด้านค่าการตลาดน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2566 ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.23 บาทต่อลิตร ขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินอยู่ในระดับสูงประมาณ 3 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยตั้งแต่วันที่ 1-30 ต.ค. 2566 อยู่ที่ระดับ 2.49 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ 1.50-2 บาทต่อลิตร