พลังงาน ชี้ร้อนนี้ยอดใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี เกิน 30,936 เมกะวัตต์ ยืนยันมีไฟฟ้าเพียงพอรองรับพีคปี 2566

444
- Advertisment-

กระทรวงพลังงาน ระบุหน้าร้อนนี้ยอดใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี เหตุเศรษฐกิจดีขึ้นหลังไทยเปิดประเทศ มั่นใจมีไฟฟ้าเพียงพอ เนื่องจากปริมาณสำรองไฟฟ้ายังสูงถึง 30% คาดปี 2568 สำรองไฟฟ้ากลับสู่ภาวะปกติเหลือ 15% ยืนยันแผน PDP 2023 ฉบับใหม่ยอดผลิตไฟฟ้าในระบบ 3 การไฟฟ้าจะสูงกว่า 7.7 หมื่นเมกะวัตต์ และยอดใช้ไฟฟ้าจะสูงขึ้นกว่าแผนเดิม จากการมีรถ EV และ EEC วอนรัฐบาลใหม่สนับสนุนแผน PDP 2023 หวั่นหากปรับแผนอีกรอบ จะทำให้เกิดความล่าช้า และต้องเลื่อนแผนไปใช้ปีหน้าเป็น PDP 2024 แทน  

นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ยอดใช้ไฟฟ้าสูงสุด(พีค) ของปี 2566 ในช่วงหน้าร้อนนี้จะพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา หรือสูงกว่า 30,936 เมกะวัตต์ เนื่องจากไทยเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจเติบโต ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงานมั่นใจว่าไทยมีไฟฟ้าเพียงพอรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นแน่นอน เนื่องจากสำรองไฟฟ้าไทยสูงถึง 30% (จากปกติควรอยู่ระดับ 15%)  

อย่างไรก็ตามจากการศึกษาข้อมูลพบว่าสำรองไฟฟ้าของไทยจะเริ่มลดลงหลังจากความต้องการใช้ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(EV) มากขึ้น และจะส่งผลให้สำรองไฟฟ้ากลับสู่ภาวะปกติที่ 15% ได้ในปี 2568 แต่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2566-2580 หรือ PDP 2023 ฉบับใหม่ที่กำลังจัดทำอยู่ จะยกเลิกการพิจารณาปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศ( Reserve Margin ) และเปลี่ยนเป็นการใช้เกณฑ์ดัชนีความเชื่อถือได้ หรือ Loss of Load Expectation ( LOLE) แทน

- Advertisment -

โดยเกณฑ์ LOLE ดังกล่าวจะวัดจากการยอมรับให้ไฟฟ้าดับได้กี่วันใน 1 ปี  (ล่าสุดผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ใช้เกณฑ์ LOLE โดยการยอมรับให้ไฟฟ้าดับได้เพียง 0.7 วันต่อปี หรือ ไม่เกิน 24 ชั่วโมงต่อปี ) ซึ่งจะเหมาะสมกับประเทศไทยที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเข้าระบบมากขึ้น เพราะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมีข้อเสียอยู่ที่ผลิตไฟฟ้าได้ไม่ต่อเนื่องแต่ขึ้นกับธรรมชาติในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้นระบบ LOLE จะมาช่วยตรวจวัดปริมาณไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าประเทศได้ดีกว่า  

สำหรับความคืบหน้าการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2566-2580 หรือ PDP 2023 คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2566 นี้ โดยต้องผ่านขั้นตอนการเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการ PDP ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน จากนั้นจะเปิดรับฟังความเห็นประชาชนและเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบน.) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) พิจารณาเห็นชอบเพื่อประกาศใช้ต่อไป

โดยแผน PDP 2023 เบื้องต้นจะบรรจุปริมาณการผลิตไฟฟ้าในระบบ 3 การไฟฟ้ามากกว่าแผนเดิม คือ PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่มีอยู่ 77,211 เมกะวัตต์ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจะสูงขึ้น เพราะช่วงปลายของแผนฯ คาดว่าจะมีการใช้รถ EV มากขึ้นและการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกจากนี้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจะสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% นอกนั้นจะเป็นไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งต่ำกว่า 50%  ลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ 60% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ รวมทั้งจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กบรรจุอยู่ในแผนด้วย เป็นต้น ส่วนค่าไฟฟ้าจะพยายามให้เท่าแผน PDP เดิมที่เฉลี่ยทั้งแผนอยู่ที่ 3.60 บาทต่อหน่วย

สำหรับการปรับเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะกระทบต่อแผน PDP2023 บ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากได้จัดทำแผนบนข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบแล้ว และอยากให้รัฐบาลใหม่สนับสนุนแผน PDP 2023 เพื่อให้เริ่มใช้ได้ตามกำหนดในปี 2566 นี้ อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลใหม่ต้องการปรับแก้ไขแผน PDP2023 ก็คาดว่าจะต้องใช้เวลาเกือบ 1 ปี ซึ่งอาจจะล่าช้าและเริ่มใช้ได้ในปี 2567 เป็นแผน PDP 2024 แทนก็เป็นไปได้เช่นกัน    

ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า อยากฝากรัฐบาลใหม่ในเรื่องนโยบายพลังงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยอย่าเอาราคาพลังงานที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้แก้ไขปัญหาราคาพลังงานได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่ผันผวนหนัก ซึ่งไทยสามารถแก้ปัญหาและดูแลราคาพลังงานให้ประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยใช้เม็ดเงินกว่า 4.2 แสนล้านบาท ดูแลทั้งค่าไฟฟ้า, ราคาก๊าซหุงต้ม(LPG),ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV) และราคาน้ำมันดีเซล เป็นต้น ซึ่งเป็นการดูแลพลังงานให้สมดุลทั้ง 3 ด้านคือ ด้านความมั่นคงพลังงาน, ด้านราคาพลังงานที่เป็นธรรม และด้านการส่งเสริมพลังงานสะอาด และเชื่อว่าหากไทยยังคงเดินหน้านโยบายพลังงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนต่อไป แม้จะเกิดวิกฤติพลังงานในอนาคต ไทยก็จะผ่านพ้นไปได้แน่นอน

  

Advertisment