พลังงาน-กกพ. ปรับลดค่าไฟฟ้า ม.ค.-เม.ย. 2568 เหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย ยืดจ่ายคืนหนี้ กฟผ.-ปตท.

202
- Advertisment-

พลังงาน แจง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาลดค่าไฟฟ้าลงอีก 3 สตางค์ต่อหน่วย จาก 4.18 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 ส่งผลให้ประชาชนยืดจ่ายหนี้ค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซฯ ของ กฟผ. และ ปตท. ออกไปอีก คาดสิ้นสุด เม.ย. 2568 ประชาชนยังเหลือหนี้ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายมากกว่า 85,226 ล้านบาท  

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะประกาศลดค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ลดลงอีก 3 สตางค์ต่อหน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย โดยจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย. 2568 ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน

“ผมเพิ่งได้รับแจ้งเบื้องต้นเป็นข่าวดีจากทางสำนักงาน กกพ. โดยจะปรับลดค่าไฟฟ้าในงวดหน้า (ม.ค.-เม.ย.2568) ลงได้อีก เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.15 บาท หลังจากที่ผมได้ขอให้ทุกหน่วยงานได้ไปลองดูว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้อีกหรือไม่ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชน ในนามรัฐบาลและกระทรวงพลังงานขอถือโอกาสนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกท่าน และขอขอบคุณ กกพ.ในฐานะหน่วยงานหลัก ขอบคุณการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ปตท.ในการร่วมกันกับรัฐบาลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว

- Advertisment -

ภายหลังจากสิ้นสุดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในวันนี้ (27 พ.ย. 2567) ได้มีมติเห็นชอบทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และค่าไฟฟ้าเรียกเก็บงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 โดยให้เรียกเก็บลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย เป็นผลจากการที่ได้มีการทบทวนตัวเลข และประมาณการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กกพ.จะได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า ที่ผ่านมา กกพ. ได้เปิดรับฟังความเห็นประชาชนต่อค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 โดยการพิจารณาค่าไฟฟ้าแบ่งเป็น 3 แนวทาง ดังนี้

กรณีที่ 1 ค่า Ft เท่ากับ 170.71 สตางค์ต่อหน่วย รวมค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.49 บาทต่อหน่วย โดยกรณีนี้จะเป็นการจ่ายหนี้คืน กฟผ.ทั้งหมด  85,236 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 131.01 สตางค์ต่อหน่วย) รวมค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 หรือ AFGAS ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ (กฟผ. และ ปตท.)  จำนวน 15,083.79 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 23.18 สตางค์ต่อหน่วย) รวมทั้งสิ้นจำนวน 154.19 สตางค์ต่อหน่วย

กรณีที่ 2 ค่า Ft เท่ากับ 147.53 สตางค์ต่อหน่วย รวมค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 5.26 บาทต่อหน่วย โดยกรณีนี้ กฟผ.จะได้รับการทยอยชำระหนี้คืน 85,236 ล้านบาท ภายในเดือน เม.ย. 2568

และกรณีที่ 3 กรณีตรึงค่า Ft เท่ากับงวดปัจจุบัน (ข้อเสนอ กฟผ.) เท่ากับ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยคงที่เท่ากับ 4.18 บาทต่อหน่วย ซึ่งกรณีนี้จะทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้าง ( AF) ที่ค้างสะสมได้จำนวน 15,094 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 23.20 สตางค์ต่อหน่วย) โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือน เม.ย. 2568 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ (กฟผ. และ ปตท.) รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 85,226 ล้านบาท

ดังนั้นเมื่อ กกพ. ได้พิจารณาเลือกแนวทางที่ 3 ที่ค่าไฟฟ้า 4.18 บาทต่อหน่วย และได้สรุปแนวทางปรับลดค่าไฟฟ้าลงอีก 3 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย จะส่งผลให้สิ้นเดือน เม.ย. 2568 จะยังเหลือหนี้ที่ประชาชนต้องจ่ายคืน กฟผ. และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ (กฟผ. และ ปตท.) ที่แบกรับภาระค่าไฟฟ้าแทนประชาชนในช่วงที่ผ่านมา มากกว่า 85,226 ล้านบาท ซึ่งการลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวเท่ากับเป็นการยืดภาระหนี้ดังกล่าวออกไปนั่นเอง

Advertisment