ผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ อ่วม เตรียมรับมือราคาดีดกลับสูงสุด 2.50 บาทต่อลิตร หลังหมดมาตรการลดภาษีน้ำมันเบนซินสิ้นเดือน ม.ค. 2567 นี้ หากรัฐไม่ต่ออายุลดภาษีเพิ่ม หวั่นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยปัญหาน้ำมันหมดปั๊มอีกรอบ ถ้าประชาชนแห่เติมก่อนปรับราคาขึ้น
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันกลุ่มเบนซิน 0.15 – 1 บาทต่อลิตร ของรัฐบาลจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ม.ค. 2567 นี้ โดยหากไม่มีการต่ออายุมาตรการลดภาษีดังกล่าว จะส่งผลให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ปรับขึ้น 90 สตางค์ต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ปรับขึ้น 90 สตางค์ต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ปรับขึ้น 80 สตางค์ต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ปรับขึ้น 15 สตางค์ต่อลิตร
พร้อมกันนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อาจเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเข้ากองทุนฯ เพิ่ม โดยเรียกเก็บเฉพาะผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ส่งเข้ากองทุนฯ อีก 1.35 บาทต่อลิตร และผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้ากองทุนฯ อีก 0.65 บาทต่อลิตร
เนื่องจากมาตรการลดภาษีน้ำมันกลุ่มเบนซินดังกล่าว ทำให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่ผ่านมา มีมติให้กองทุนฯ นำเงินเข้าไปช่วยเสริมด้วย เพื่อให้ราคาจำหน่ายน้ำมันเบนซินปรับลดตามมาตรการรัฐบาล คือ ให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง 1 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลง 80 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งมีผลมาตั้งแต่ 7 พ.ย.2566 -31 ม.ค. 2567
ดังนั้นเมื่อหมดอายุมาตรการลดภาษีเบนซินในสิ้นเดือน ม.ค. 2567 นี้ ราคาน้ำมันจะขึ้นจาก 2 ส่วน คือ 1.จากภาษีน้ำมันเบนซินที่รัฐเรียกคืน และ 2. กองทุนน้ำมันฯ ที่เรียกเงินคืนเงินจากผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน ซึ่งผลกระทบหนักสุดจะอยู่ที่ผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ที่ราคาน้ำมันจะต้องปรับขึ้นโดยรวม 2.50 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ปรับขึ้นโดยรวม 1 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ปรับขึ้นโดยรวม 80 สตางค์ต่อลิตร
ขณะเดียวกันกรมธุรกิจพลังงานจะต้องเตรียมพร้อมรับมือปัญหาน้ำมันขาดแคลนในสถานีบริการน้ำมันอีกรอบ หากมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันในอัตราสูงดังกล่าว เนื่องจากประชาชนอาจจะแห่ไปเติมน้ำมันก่อนที่จะปรับขึ้นราคา จนเป็นเหตุให้น้ำมันหมดปั๊มได้ เช่นเดียวกับตอนที่ราคาน้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ลดลงในช่วงเริ่มมาตรการนี้ ที่ได้เกิดปัญหาน้ำมันหมดปั๊มเฉพาะชนิดที่ลดราคา จนมีการร้องเรียนเรื่องน้ำมันหมดปั๊มเมื่อวันที่ 7-8 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นกระทรวงพลังงานได้รายงานให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รับทราบแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับการกลับมาเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ เพื่อส่งเข้ากองทุนฯ หลังหมดอายุมาตรการลดภาษีน้ำมันกลุ่มเบนซิน ม.ค. 2567 โดยมีทั้งแนวทางเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ ครั้งเดียวครบ หรือ ทยอยเรียกเก็บคืน เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนมากนัก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาว่าจะใช้แนวทางใด พร้อมกันนี้ต้องรอดูว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันเบนซินอีกหรือไม่ ถ้าหากไม่มีการต่ออายุจะส่งผลให้ราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินดีดกลับทันที จนเกิดการช็อกความรู้สึกประชาชนได้
ปัจจุบันราคาน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน ณ วันที่ 11 ม.ค. 2567 เป็นดังนี้ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 34.75 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 32.98 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 32.64 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 32.79 บาทต่อลิตร, น้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ที่ 42.64 บาทต่อลิตร และดีเซลอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร
สำหรับ มติ ครม. เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2566 ให้ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันกลุ่มเบนซินทุกชนิดลง 1 บาทต่อลิตร จากเดิมเก็บอยู่ 6.50 บาทต่อลิตร โดยการลดภาษีดังกล่าวจะลดหลั่นไปตามอัตราส่วนผสมของน้ำมันเบนซิน เช่น E10(น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91,95 ) ภาษีจัดเก็บลดลง 90 สตางค์ต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ลดลง 80 สตางค์ต่อลิตร , E85 ลดลง 15 สตางค์ต่อลิตร
และ กบน. สั่งลดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 1.35 บาทต่อลิตร และผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ลง 0.65 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 หน้าปั๊มลดลง 2.50 บาทต่อลิตร ,น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง 1 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลง 80 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งมีผลมาตั้งแต่ 7 พ.ย.2566 -31 ม.ค. 2567