ปตท.สผ. กำไรสุทธิปี 2562 เพิ่มขึ้น 40% จากผลสำเร็จเข้าซื้อกิจการตามแผน

523
- Advertisment-

ปตท.สผ. เผยผลประกอบการจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ขยายธุรกิจ ส่งผลให้ปี 2562 มีกำไรสุทธิ 1,569 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 40% จากปริมาณการขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นหลังเข้าซื้อกิจการและเพิ่มการลงทุนในแหล่งบงกช และยังส่งผลให้อัตราส่วนปริมาณสำรองปิโตรเลียมต่อการผลิต (R/P ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ปี สร้างการเติบโตให้กับบริษัทและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศในระยะยาว ตั้งเป้า ปี 2563 เพิ่มปริมาณการขายอีก 11%

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่าบริษัทมีรายได้รวมในปี 2562 ที่ 6,413 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่า 198,822  ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ซึ่งมีรายได้รวม 5,459 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่า 176,687 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 17% โดยปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทมีปริมาณการขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนโครงการบงกช การเข้าซื้อกิจการของบริษัท เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย และบริษัท พาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง บี.วี. ซึ่งส่งผลให้ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 350,651 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับ 305,522 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2561 ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 46.66 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2561 มาอยู่ที่ 47.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ

จากปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นในปี 2562 ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ 1,569 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่า 48,803 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่า 36,206 ล้านบาท) ทั้งนี้ ปตท.สผ. มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปี 2562 รวม 3,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  (เทียบเท่า 102,878 ล้านบาท) และมีระดับอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ที่ 71%

- Advertisment -

ปริมาณสำรองปิโตรเลียมพิสูจน์แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ปี

นายพงศธร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจ (Expand) ซึ่งมีทั้งการเข้าซื้อกิจการและการชนะการประมูลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราการขายปิโตรเลียมของ ปตท.สผ. เพิ่มขึ้นเป็น 350,651 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันนั้น นับเป็นปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยสูงสุดจากที่มีการผลิตมาของ ปตท.สผ. นอกจากนี้ แผนกลยุทธ์ดังกล่าว ยังมีผลให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้ว (P1) ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 677 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เป็น 1,140 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 68 เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งส่งผลให้ R/P ratio เพิ่มขึ้นจาก 5 ปี เป็น 7.5 ปีอีกด้วย

นอกจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว เรายังสามารถเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมได้ตามเป้าหมายด้วย โดยจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตหากมีการสำรวจพบและพิสูจน์ทราบปริมาณสำรองในพื้นที่สำรวจต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการสร้างการเติบโตให้กับ ปตท.สผ. ไปพร้อม ๆ กับเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทยในระยะยาว ส่วนในปี 2563 นี้ ปตท.สผ. ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายขึ้นอีก 11%” นายพงศธร กล่าว

ทั้งนี้ จากผลประกอบการข้างต้น คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผล สำหรับปี 2562 ที่ 6 บาทต่อหุ้น โดยจ่ายสำหรับงวด 6 เดือนแรกไปแล้วในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น ส่วนที่เหลืออีก 3.75 บาทต่อหุ้น จะกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 และจะจ่ายในวันที่ 10 เมษายน 2563 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2563 แล้ว

เร่งการพัฒนาโครงการ สร้างการเติบโตระยะยาว

สำหรับแผนงานในปี 2563 ปตท.สผ. จะมุ่งดำเนินงานตามแผนการเปลี่ยนผ่านสิทธิการดำเนินงานโครงการใหม่ที่ได้ในปีที่ผ่านมาให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และโครงการ G2/61 (แหล่งบงกช) ที่กำลังเตรียมแผนงานเพื่อให้ได้ปริมาณการผลิตตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต โดยได้เริ่มวางแผนการเจาะหลุมสำรวจ การสร้างแท่นผลิตและท่อส่งก๊าซธรรมชาติ รวมถึงศึกษาการเตรียมความพร้อมในด้านอื่น ๆ ซึ่งในส่วนของแหล่งเอราวัณนั้น ปตท.สผ. ได้ประสานงานกับผู้รับสัมปทานรายเดิมและกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามแผนและผลิตก๊าซธรรมชาติให้กับประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ปตท.สผ. จะเร่งกิจกรรมการสำรวจในโครงการที่มีศักยภาพสูง เน้นโครงการในประเทศมาเลเซียและเมียนมา เช่น โครงการเมียนมา เอ็มดี-7 และหลุมสำรวจลัง เลอบาห์-1อาร์ดีอาร์ 2 ในแปลงซาราวัก เอสเค 410บี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งในปีที่ผ่านมา ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมสำรวจที่ถือเป็นการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของบริษัท รวมถึง แปลงสำรวจอื่น ๆ ในบริเวณเดียวกันในประเทศมาเลเซีย เพื่อพิจารณาการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ ปตท.สผ. ยังคงมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากโครงการปัจจุบัน และผลักดันการพัฒนาโครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ให้สามารถผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว

 

Advertisment