- Advertisment-

ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ล่าสุด  (28 ก.พ. – 4 มี.ค. 65) เพิ่มขึ้น $11-14/BBL และในเช้าวันที่ 7 มี.ค. 65 ตลาดล่วงหน้าทำสถิติซื้อขายสูงสุดในรอบ 13 ปี โดย ICE Brent ทะยานแตะระดับ $139/BBL และ WTI ที่ระดับ $131/BBL หลังจาก รมว.กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ นาย Antony Blinken กล่าวว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณามาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยสมาชิกวุฒิสภาเสนอร่างกฎหมายห้ามนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย เพื่อลงโทษกรณีบุกยูเครน ทั้งนี้ ร่างฯ ดังกล่าวจะต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร และลงนามโดยประธานาธิบดี นาย Joe Biden ก่อนเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้

ให้จับตาการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ (Joint Comprehensive Plan of Action: JCPOA) ระหว่างอิหร่านกับมหาอำนาจ 6 ชาติ (P5+1 ได้แก่ สหรัฐฯ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, จีน, และเยอรมนี) ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจาก รมว.กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย นาย Sergei Lavrov เรียกร้อง ให้สหรัฐฯ ออกหนังสือรับรองว่ามาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะไม่ครอบคลุมการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเทคโนโลยีระหว่างรัสเซียกับอิหร่าน

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

- Advertisment -
  • การเจรจาหยุดยิงระหว่างคณะผู้แทนรัสเซียกับยูเครนไม่สามารถบรรลุข้อตกลง
  • มาตรการคว่ำบาตรธนาคารรัสเซียหลายแห่งจากระบบ SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) จะทำให้กระแสการค้าพลังงาน รวมสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่รัสเซียผลิต เช่น ธัญพืช ปุ๋ย ไม้ เหล็กกล้า Palladium Nickel หยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญ จนกว่าผู้ซื้อจะสามารถหาธนาคาร และระบบชำระเงินทางเลือกอื่นๆ ได้ ทั้งนี้รัสเซียผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ประมาณ 1/6 ของโลก
  • การประชุมกลุ่ม OPEC และประเทศพันธมิตร (OPEC+) ในวันที่ 2 มี.ค. 65 มีมติยึดตามแผนเดิม คือ ผลิตน้ำมันดิบในเดือน เม.ย. 65 เพิ่มขึ้น 400 KBD ซึ่งตลาดมองว่าน้อยเกินไปภายใต้สภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

  • IEA แนะนำให้ประเทศสมาชิกระบายน้ำมันดิบจากคลังสำรองน้ำมันทางเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ปริมาณ 60 ล้านบาร์เรล โดยเป็นน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ 30 ล้านบาร์เรล และส่วนที่เหลือจากยุโรปและญี่ปุ่น

Advertisment