ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันผวนสูง ปัจจุบัน ปตท. ได้ปรับทิศทางดำเนินธุรกิจ โดยหันกลับมาโฟกัสในธุรกิจหลักทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ลดความเสี่ยงการลงทุนในธุรกิจที่ไม่เชื่อมโยงกับพลังงาน และมองไปข้างหน้าสู่ธุรกิจพลังงานไฮโดรเจน ไฟฟ้าจากปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors – SMR) และการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (Carbon Capture and Storage – CCS) ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่สร้างการเติบโตให้กับองค์กรในอนาคต โดยทิศทางธุรกิจดังกล่าว ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มองเห็นโอกาสการลงทุนระยะยาวในหุ้นของ ปตท.
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. บรรยายถึงภาพรวมและความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ “ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” ให้กับสื่อมวลชนเมื่อเร็วๆ นี้ โดยชี้ให้เห็นถึงการปรับทิศทางธุรกิจซึ่งทำให้ ปตท. ยังคงอยู่ในธุรกิจหลักเดิมที่องค์กรมีความถนัด อย่างแข็งแกร่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยที่ยังสามารถอยู่ร่วมกับสังคมโลก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ตามที่ประกาศไว้ได้เป็นอย่างดี

ในการบรรยาย ดร.คงกระพัน ชี้ให้เห็นว่า ก๊าซธรรมชาติถือเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าน้ำมันและถ่านหิน โดยประเทศไทยยังมีแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศและใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติจึงเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญต่อประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 30 ปีข้างหน้า ในขณะที่ ปตท. ก็มุ่งทำธุรกิจอีกด้านเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างสมดุลให้เป็นไปตามเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ของประเทศ ทั้งแผนการปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนฯ ซึ่งเป็นวิธีดำเนินการที่มีต้นทุนต่ำที่สุด โดยได้ดำเนินการอย่างเต็มกำลังในพื้นที่ 2 ล้านไร่ ซึ่งปัจจุบัน เต็มพื้นที่ ไม่เหลือพื้นที่ให้ปลูกเพิ่มแล้ว รวมทั้งยังมองถึงธุรกิจเกี่ยวกับการกักเก็บคาร์บอน และธุรกิจพลังงานที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนเลย ทั้งไฮโดรเจน และไฟฟ้าจากปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR
และเพื่อให้เกิดการลงทุนด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ไม่สร้างภาระให้กับผู้บริโภค ปตท. จึงอยู่ระหว่างการทบทวนกรอบระยะเวลา (Time Line) ของการดำเนินการที่ยังมุ่งไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2050
ส่วนการโฟกัสในธุรกิจพลังงานฟอสซิล หรือ Hydrocarbon ที่ ปตท. มีความถนัดนั้น ในระยะสั้น จะเน้นการลงทุนเพื่อสร้าง Synergy ในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ที่เรียกว่าโครงการ D1-Domestic Products Mgmt โดยตั้งเป้าจะสามารถทำกำไรเพิ่มกว่า 3 พันล้านบาทต่อปีภายใน 3 ปี
การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนภายใต้โครงการที่เรียกว่า MissionX – Operational Excellence เพื่อเพิ่ม EBITDA ตั้งเป้าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปี
ในขณะที่ระยะกลาง จะมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งด้านการตลาด หรือด้านเทคโนโลยี เข้ามาร่วมถือหุ้นกับ ปตท. ที่ถืออยู่ใน PTTGC IRPC และไทยออยล์ โดยที่ ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลัก รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการค้า LNG ในภูมิภาค หรือ LNG Hub
ส่วนในระยะยาว คือการเข้าไปลงทุนในธุรกิจกักเก็บคาร์บอน ที่จะดำเนินการผ่าน ปตท.สผ. และพลังงานไฮโดรเจน เพื่ออุตสาหกรรมที่เริ่มต้นด้วยการนำเข้าไฮเดรเจนจากประเทศที่มีต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนที่ต่ำเช่นจากอินเดียหรือกลุ่มตะวันออกกลาง และมองหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR ผ่านทาง GPSC

สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon จะมีการปรับลดความเสี่ยงในธุรกิจ เช่น การเลิกกิจการธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงาน การลดสัดส่วนการถือหุ้นในโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะยังเน้นการลงทุนเฉพาะ EV Charging ผ่านทางโออาร์ ส่วนที่เป็นธุรกิจ Life& Science ที่ยังทำกำไรนั้น จะเปิดทางให้พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเข้ามาร่วมถือหุ้นและการจัดหาแหล่งเงินทุนให้ทำธุรกิจอยู่รอดได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทแม่
ดร.คงกระพัน กล่าวด้วยว่า การลงทุนของกลุ่ม ปตท. จะเน้นไปในเชิงคุณภาพของการลงทุนที่ ปตท. มีความถนัด ได้ผลตอบแทนเร็ว และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะไม่ใช่การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เพราะปัจุบันสถานการณ์โลกมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง จึงเป็นเรื่องยากที่จะทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาล เช่น เพื่อสร้างโรงงานใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี และไม่มีใครบอกได้ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งการปรับทิศทางการลงทุนของ ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่และมีการสื่อสารกับนักลงทุนนั้น ได้รับเสียงสะท้อนในทางบวกจากนักลงทุนสถาบันที่มองถึงการลงทุนระยะยาวกับหุ้น ปตท.