ปตท. ปรับทิศทางลงทุน มองไฮโดรเจนและ SMR เป็นพลังงานในอนาคต ควบคู่การสร้างความเข้มแข็งในธุรกิจหลัก ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบัน

197
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
- Advertisment-

ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันผวนสูง ปัจจุบัน ปตท. ได้ปรับทิศทางดำเนินธุรกิจ โดยหันกลับมาโฟกัสในธุรกิจหลักทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ลดความเสี่ยงการลงทุนในธุรกิจที่ไม่เชื่อมโยงกับพลังงาน และมองไปข้างหน้าสู่ธุรกิจพลังงานไฮโดรเจน ไฟฟ้าจากปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors – SMR) และการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (Carbon Capture and Storage – CCS) ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่สร้างการเติบโตให้กับองค์กรในอนาคต โดยทิศทางธุรกิจดังกล่าว ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มองเห็นโอกาสการลงทุนระยะยาวในหุ้นของ ปตท.

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. บรรยายถึงภาพรวมและความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ “ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” ให้กับสื่อมวลชนเมื่อเร็วๆ นี้ โดยชี้ให้เห็นถึงการปรับทิศทางธุรกิจซึ่งทำให้ ปตท. ยังคงอยู่ในธุรกิจหลักเดิมที่องค์กรมีความถนัด อย่างแข็งแกร่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยที่ยังสามารถอยู่ร่วมกับสังคมโลก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ตามที่ประกาศไว้ได้เป็นอย่างดี

ในการบรรยาย ดร.คงกระพัน ชี้ให้เห็นว่า ก๊าซธรรมชาติถือเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าน้ำมันและถ่านหิน โดยประเทศไทยยังมีแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศและใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติจึงเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญต่อประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 30 ปีข้างหน้า ในขณะที่ ปตท. ก็มุ่งทำธุรกิจอีกด้านเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างสมดุลให้เป็นไปตามเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ของประเทศ ทั้งแผนการปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนฯ ซึ่งเป็นวิธีดำเนินการที่มีต้นทุนต่ำที่สุด โดยได้ดำเนินการอย่างเต็มกำลังในพื้นที่ 2 ล้านไร่ ซึ่งปัจจุบัน เต็มพื้นที่ ไม่เหลือพื้นที่ให้ปลูกเพิ่มแล้ว รวมทั้งยังมองถึงธุรกิจเกี่ยวกับการกักเก็บคาร์บอน และธุรกิจพลังงานที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนเลย ทั้งไฮโดรเจน และไฟฟ้าจากปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR

- Advertisment -

และเพื่อให้เกิดการลงทุนด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ไม่สร้างภาระให้กับผู้บริโภค ปตท. จึงอยู่ระหว่างการทบทวนกรอบระยะเวลา (Time Line) ของการดำเนินการที่ยังมุ่งไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2050

ส่วนการโฟกัสในธุรกิจพลังงานฟอสซิล หรือ Hydrocarbon ที่ ปตท. มีความถนัดนั้น ในระยะสั้น จะเน้นการลงทุนเพื่อสร้าง Synergy ในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ที่เรียกว่าโครงการ D1-Domestic Products Mgmt โดยตั้งเป้าจะสามารถทำกำไรเพิ่มกว่า 3 พันล้านบาทต่อปีภายใน 3 ปี
การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนภายใต้โครงการที่เรียกว่า MissionX – Operational Excellence เพื่อเพิ่ม EBITDA ตั้งเป้าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปี

ในขณะที่ระยะกลาง จะมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งด้านการตลาด หรือด้านเทคโนโลยี เข้ามาร่วมถือหุ้นกับ ปตท. ที่ถืออยู่ใน PTTGC IRPC และไทยออยล์ โดยที่ ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลัก รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการค้า LNG ในภูมิภาค หรือ LNG Hub

ส่วนในระยะยาว คือการเข้าไปลงทุนในธุรกิจกักเก็บคาร์บอน ที่จะดำเนินการผ่าน ปตท.สผ. และพลังงานไฮโดรเจน เพื่ออุตสาหกรรมที่เริ่มต้นด้วยการนำเข้าไฮเดรเจนจากประเทศที่มีต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนที่ต่ำเช่นจากอินเดียหรือกลุ่มตะวันออกกลาง และมองหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR ผ่านทาง GPSC

สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon จะมีการปรับลดความเสี่ยงในธุรกิจ เช่น การเลิกกิจการธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงาน การลดสัดส่วนการถือหุ้นในโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะยังเน้นการลงทุนเฉพาะ EV Charging ผ่านทางโออาร์ ส่วนที่เป็นธุรกิจ Life& Science ที่ยังทำกำไรนั้น จะเปิดทางให้พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเข้ามาร่วมถือหุ้นและการจัดหาแหล่งเงินทุนให้ทำธุรกิจอยู่รอดได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทแม่

ดร.คงกระพัน กล่าวด้วยว่า การลงทุนของกลุ่ม ปตท. จะเน้นไปในเชิงคุณภาพของการลงทุนที่ ปตท. มีความถนัด ได้ผลตอบแทนเร็ว และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะไม่ใช่การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เพราะปัจุบันสถานการณ์โลกมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง จึงเป็นเรื่องยากที่จะทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาล เช่น เพื่อสร้างโรงงานใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี และไม่มีใครบอกได้ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งการปรับทิศทางการลงทุนของ ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่และมีการสื่อสารกับนักลงทุนนั้น ได้รับเสียงสะท้อนในทางบวกจากนักลงทุนสถาบันที่มองถึงการลงทุนระยะยาวกับหุ้น ปตท.

Advertisment