นักวิเคราะห์ชี้ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าครึ่งปีหลังอนาคตสดใส ราคาหุ้นมีแนวโน้มปรับขึ้นรับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มต่อเนื่องหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว
เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโต 6% สำหรับประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้จะเติบโตราว 0.7-1.2% เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม จากนโยบายการเร่งฉีดวัคซีน จะทำให้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และจะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายเจ้าคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นกลุ่มธุรกิจไฟฟ้า ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ส่งสัญญาณบวกต่อผลประกอบการช่วงครึ่งหลังปีนี้ เช่น บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM บริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH
เริ่มจาก SPCG ที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 637 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 663 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิกว่า 1,483.6 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่จุดเด่นคือ SPCG ยังคงสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องและสามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้เช่นเดิม ล่าสุดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท จำนวน 1,055,790,000 หุ้น รวมเป็นจำนวนเงิน 263,947,500.00 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2564
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด แนะนำ “ซื้อ” SPCG ราคาเป้าหมาย 23 บาทต่อหุ้น โดยจุดเด่น SPCG มี Upside เมื่อเทียบจากราคาตลาดปัจจุบัน มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) 6.62% ซึ่งในปี 2562 จ่ายเงินปันผล 1.22 บาทต่อหุ้น และปี 2563 ในอัตรา 1.20 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ GULF รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 1,407 ล้านบาท ลดลง 25.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) 1,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีปัจจัยหลักมาจากการรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ อาทิ โรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่ COD เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โรง ภายใต้กลุ่ม GMP และโครงการโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โรง ภายใต้กลุ่ม GJP ที่รับรู้ Core Profit เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าที่สูงขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” GULF ราคาพื้นฐาน 42 บาทต่อหุ้น หลังคาดกำไรช่วงครึ่งหลังปี 2564 แข็งแกร่งจากโครงการใหม่ GSRC หน่วยที่ 2 อีก 662 เมกะวัตต์ เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ต.ค.นี้ โรงไฟฟ้าพลังลมเวียดนาม 30 เมกะวัตต์ COD ส.ค.นี้ และอีก 98 เมกะวัตต์ COD ต.ค.นี้ และโรงไฟฟ้าโอมาน 326 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กำลังการผลิตปีนี้เพิ่มขึ้น 36% และผลตอบแทนจากการถือหุ้น INTUCH เพิ่มน่าจะทำให้กำไรปีนี้ถึง 8,000 ล้านบาท
–
สำหรับ GPSC บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุว่า รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ของ GPSC มีรายได้ 18,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 โดยมีกำไรสุทธิ 2,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี การรับรู้รายได้จากเงินชดเชยค่าประกันภัยของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงานระยะที่ 5 ปัจจัยบวกจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งหลังปีนี้ของ GPSC จะเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากไม่มีการหยุดซ่อมโรงไฟฟ้าเหมือนในช่วงช่วงครึ่งปีแรก การเริ่มรับรู้รายได้ โครงการโรงไฟฟ้าในอินเดีย (Avaada) กำลังผลิตรวม 4,560 เมกะวัตต์ (GPSC ถือหุ้น 41.6% รวมกำลังผลิต 816 เมกะวัตต์ ที่เริ่มผลิต 13 ก.ค.ที่ผ่านมา) การเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการระยอง WTE และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไต้หวัน (CFXD) (เริ่ม 28 พ.ค. ทั้ง 2 โครงการ) ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ทำให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” GPSC ราคาเป้าหมาย 98 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ BGRIM รายงานกำไรไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 1,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,017 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 1,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีปัจจัยสำคัญจากปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 47.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ RATCH ในไตรมาส 3/2564 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณการจ่ายไฟฟ้าตามที่ประกาศของโครงการน้ำงึม 2 และเซเปียน เซน้ำน้อยเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วง peak ตามฤดูกาล ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65.25 บาทต่อหุ้น
–