ชวพม.เจาะลึกแผนPDP 2018 ชี้รัฐเน้นบทบาทโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน ถ่านหิน ควบคู่พลังงานหมุนเวียน พร้อมเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมผลิตไฟฟ้า ช่วยให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับลดลงจากแผนPDPฉบับเดิม
เมื่อวันที่ 27มี.ค.2562 ที่ผ่านมา ชมรมวิทยาการพลังงานรุ่นใหม่(ชวพม.)ได้จัดสัมมนา Energy For all ในหัวข้อ “เจาะลึก PDP 2018” ที่หอประชุมศาสตราจารย์ ประสม รังสิโรจน์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง โดยมีนายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เป็นประธานในพิธีเปิด และมีวิทยากรร่วมสัมมนาประกอบด้วย นายเพทาย หมุดธรรม รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) ชวพม.รุ่น1 , นางสุชีลา สุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายบริหารการรับจ่ายก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ชวพม.รุ่น2 , นางสาว นฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) ชวพม.รุ่น4 และ นายพีรธรัชต์ อิฐรัตนโชค Country Leader บริษัท GE Energy จำกัด ชวพม.รุ่น4 ซึ่งเนื้อหาที่น่าสนใจ เป็นการไฮไลท์จุดเด่น ของแผนPDP2018 ให้ผู้เข้าฟังการสัมมนา ที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้เข้าใจ และมองเห็นถึงทิศทางนโยบายพลังงานของประเทศที่จะขับเคลื่อนไปในอนาคต
โดย นายเพทาย หมุดธรรม รองผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) ชวพม.รุ่น1 กล่าวว่า แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan ) ฉบับใหม่ หรือ PDP 2018 มีความสำคัญคือเป็นแผนแม่บทในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว 15-20ปี โดยจะมีการคาดการณ์ถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าไปล่วงหน้าในอนาคต เพื่อวางแผนในการผลิตรองรับให้เพียงพอ โดยจะมีการปรับปรุงทุก 5 ปี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในปี2580 มีการประมาณการณ์ว่ากำลังผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพิ่มเติม ประมาณ12,200 เมกะวัตต์ และกำลังผลิตไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ของโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง รวมอีกประมาณ 41,800 เมกะวัตต์ โดยแยกเป็นโรงไฟฟ้าหลักที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ประมาณ 14,800 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าที่มีข้อผูกพันแล้วและโรงไฟฟ้าตามนโยบายรัฐอีกประมาณ 27,000 เมกะวัตต์
นาง สุชีลา สุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายบริหารการรับจ่ายก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ชวพม.รุ่น2 กล่าวว่า ความต้องการใช้ก๊าซธรรรมชาติในปัจจุบันของประเทศ อยู่ที่ 4,719 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยประมาณ 68% ผลิตจากแหล่งก๊าซในอ่าวไทย อีก 17% มาจากแหล่งก๊าซเมียนมา และอีก 13% มาจากการนำเข้าLNG ซึ่งปริมาณก๊าซที่ใช้ดังกล่าว ประมาณ 58% จะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยปริมาณสำรองก๊าซในอ่าวไทยที่จะลดลงเรื่อยๆ ในอนาคต ในขณะที่แผนPDP2018 ยังเน้นไปในการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิง โดยจะมีโรงไฟฟ้าใหม่ เพิ่มขึ้นประมาณ 8,300 เมกะวัตต์ คิดเป็นความต้องการใช้ก๊าซประมาณ 1,300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทำให้ LNGนำเข้าจะมีบทบาทมากขึ้น คิดเป็นปริมาณ24-33 ล้านตันในปี2580 ซึ่งมีการประเมินเป็นสองทางเลือกของการนำเข้าLNG ในปี 2580 คือ ทางเลือกที่1 จะต้องเพิ่มการนำเข้าLNG สูงขึ้นเป็น90% ของการใช้ก๊าซ โดยที่ก๊าซจากอ่าวไทย จะเหลือประมาณ6% และก๊าซจากเมียนมาเหลือ 4% ส่วนทางเลือกที่2 คือ LNG นำเข้า จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น57% ก๊าซจากอ่าวไทยเหลือ39% และ ก๊าซจากเมียนมา เหลือ 4%
โดยปัจจุบันมีการสร้างคลังและสถานีรับจ่ายLNG ให้มีขีดความสามารถที่จะรองรับLNG ได้แล้ว ประมาณ19ล้านตันต่อปี ในปี2565
นายพีรธรัชต์ อิฐรัตนโชค Country Leader บริษัท GE Energy จำกัด กล่าวว่า ในร่างแผนPDP2018 ฉบับที่มีการรับฟังความคิดเห็นนั้น กำหนดสัดส่วนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง อยู่ที่ประมาณ 53% ในปี2580 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากแผนPDP2015 เดิม ที่สัดส่วนการใช้ก๊าซอยู่ที่ 37% โดยเทคโนโลยีเครื่องยนต์กังหันก๊าซ ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในขณะที่การประมูลแหล่งก๊าซเอราวัณและบงกช ได้ราคาก๊าซที่ต่ำกว่าสัญญาเดิมมาก มีส่วนทำให้อัตราค่าไฟฟ้าภายใต้ แผน PDP2018 ต่ำลงกว่าค่าไฟในปัจจุบัน เฉลี่ยตลอดทั้งแผนอยู่ที่ 3.576 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ นายพีรธรัชต์ กล่าวด้วยว่า โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ ยังสามารถที่จะบริหารจัดการเดินเครื่องให้สอดคล้องกับไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียนได้ เพื่อให้การผลิตไฟฟ้ามีความเสถียรมากขึ้น
น.ส.นฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ประเด็นที่น่าสนใจของแผนPDP2018 คือโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ56,000เมกะวัตต์ นั้น จำนวนประมาณ20,000 เมกะวัตต์ เป็นไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งก็สอดคล้องกับเทรนด์ของโลก ที่พลังงานที่สะอาดและมีต้นทุนที่ถูกลง สามารถที่จะเกิดขึ้นพร้อมกันเพื่อให้ทางเลือกการผลิตไฟฟ้าในอนาคตได้ โดยจำนวน10,000 เมกะวัตต์ นั้น เป็นไฟฟ้าที่มาจากโซลาร์ภาคประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ที่รัฐนั้นเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าใช้เอง และมีส่วนไฟฟ้าที่เหลือสามารถขายคืนเข้าระบบได้
ทั้งนี้ โครงการโซลาร์ภาคประชาชนระยะที่1 นั้น นำร่อง100 เมกะวัตต์ ในปี2562 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นภาคครัวเรือน ที่กำลังผลิตติดตั้งไม่เกิน10กิโลวัตต์ ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่ 1.68 บาทต่อหน่วย ระยะเวลารับซื้อ10ปี ซึ่งบริษัทกันกุล ก็มีโปรดักส์ GROOFที่พร้อมจะเข้าไปช่วยติดตั้ง เพื่อให้ภาครัฐสามารถที่จะขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวได้