กกพ. ใช้เงินบริหาร 2,610 ล้านบาทในการตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) สำหรับการเรียกเก็บในงวด พ.ค. – ส.ค. 64 เอาไว้เท่าเดิมที่ ลบ 15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราเฉลี่ย 3.49 บาทต่อหน่วยต่อไปอีก 4 เดือน แม้ว่าประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าถึงร้อยละ 55.5 จะพุ่งสูงขึ้นมาอีก 15.54 บาทต่อล้านบีทียูจากงวดที่แล้ว ก็ตาม
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2564 โดยให้เรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.61 บาทต่อหน่วยต่อไปอีก 4 เดือน
โดย กกพ. มองว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 54.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มาอยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม 2564 และแนวโน้มการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาทจาก 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มาเป็น 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเดือนมีนาคม 2564 อาจส่งผลต่อค่าเอฟทีในช่วงปลายปี
อีกทั้งความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 คลี่คลายในครึ่งปีหลัง จะส่งผลต่อการเพิ่มความต้องการใช้เชื้อเพลิงในตลาดโลกอย่างรุนแรง จึงใช้หลักการประเมินค่าเอฟทีตลอดทั้งปีเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีศักยภาพในการรักษาเสถียรภาพค่าไฟฟ้าตลอดปี 2564
สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟที (ตามปกติ) ในรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2564 ประกอบด้วย
1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2564 เท่ากับประมาณ 67,885.43 ล้านหน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2564 ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 60,685.17 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.86
2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2564 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 55.5 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวมร้อยละ 17.02 และค่าเชื้อเพลิงถ่านหินลิกไนต์ของ กฟผ. ร้อยละ 8.73 ถ่านหินนำเข้าของโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 8.72 และอื่นๆ อีก ร้อยละ 10.03
- สถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ตามข้อมูลจริงเดือนมกราคม 2564 ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันดิบดูไบอ้างอิงที่ 54.8 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นจากประมาณการในรอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ ปรับตัวลดลง ดังที่แสดงในตาราง
4.อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (วันที่ 1 – 31 มกราคม 2564) เท่ากับ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากประมาณการในงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31.4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ และอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 แล้วพบว่าอาจมีผลต่อการประเมินค่าเอฟที จึงพิจารณาใช้สมมติฐานน้ำมันดิบดูไบที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในการคำนวณแทนและประเมินค่าเอฟทีตลอดทั้งปี ส่งผลให้ค่าเอฟทีเป็น -18.02 สตางค์ต่อหน่วยในรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2564 และ -7.95 สตางค์ต่อหน่วยในรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564 ตามลำดับ (เฉลี่ย -13.14 สตางค์ต่อหน่วยตลอดปี)
นอกจากนี้หากพิจารณาความสามารถในการตรึงค่าเอฟทีที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย จะต้องใช้เงินบริหารจำนวน 2,610 ล้านบาท ในขณะที่ กกพ. ยังคงมีเงินบริหารเก็บไว้จำนวน 4,129 ล้านบาท กกพ. จึงตัดสินใจตรึงค่าเอฟทีที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วยในรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2564
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2564 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 5 – 19 มีนาคม 2564 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ