รัฐมนตรีพลังงาน สั่งกรมธุรกิจพลังงานศึกษาโอกาสขยายท่อน้ำมันภาคอีสานเชื่อม สปป.ลาว ในขณะที่ภาคเหนือเชื่อมถึงเมียวดี เมียนมา หวังช่วยลดต้นทุนการขนส่ง ในขณะที่ ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด(TPN) ลงนามจ้างไชน่า ปิโตรเลียม ไปป์ไลน์ เอนจิเนียริ่ง จำกัด(CPP) ก่อสร้างท่อน้ำมันภาคอีสานมูลค่า 9,000 ล้านบาท คาดเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส4 ปี 2564
วันที่ 27 ก.พ. 2562 มีพิธีลงนามสัญญาจ้างการก่อสร้างโครงการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือระหว่าง บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด(TPN) ลงนามจ้าง บริษัทไชน่า ปิโตรเลียม ไปป์ไลน์ เอนจิเนียริ่ง จำกัด (CPP) มูลค่า 9,000 ล้านบาท โดยนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน โดยมีนาย จาง เซียว หง เลขานุการเอกฝ่ายเศรษฐกิจและการค้า ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้จะช่วยลดราคาน้ำมันลงได้ประมาณ 20 สตางค์ต่อลิตร จากปัจจุบันที่พื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีราคาน้ำมันต่างกันประมาณ 30 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุกจากภาคกลางไปต่างจังหวัดระยะไกลส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันสูงขึ้น
ทั้งนี้ได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงานไปศึกษาโอกาสการเชื่อมต่อท่อน้ำมันไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ท่อส่งน้ำมันภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จะสิ้นสุดที่จ.ขอนแก่น อาจเชื่อมต่อไปยังจ.หนองคาย และต่อเนื่องไปยังเวียงจันทน์ ของ สปป.ลาว ส่วนท่อน้ำมันภาคเหนือที่จะสิ้นสุดที่จ.ลำปาง อาจขยายต่อไปยังอ.แม่สอด จ.ตาก และต่อเชื่อมไปยังเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดโอกาสขยายโครงข่ายพลังงานสู่อาเซียนอย่างแท้จริงต่อไป
นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันกรมฯอยู่ระหว่างการจัดทำแผนน้ำมันระยะยาวของประเทศ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2561-2580 หรือ PDP 2018 โดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในปี 2562 นี้ ส่วนแผนท่อส่งน้ำมันของประเทศนั้นควรต้องขยายไปจนถึงพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเตรียมความพร้อมหากต้องขยายท่อน้ำมันต่อไป แต่การดำเนินงานต้องพิจารณาด้านกฎหมายของแต่ละประเทศด้วย โดยการดำเนินการงานขยายท่อส่งน้ำมันต้องเป็นบทบาทของภาคเอกชนที่จะเข้าไปดำเนินการ แต่ต้องขออนุญาตกับกรมฯ ก่อนจึงจะดำเนินการได้
ด้านนายภาณุ ศีติสาร ประธานกรรมการ บริษัทเพาเวอร์ โซลูชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)หรือ PSTC และกรรมการ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด หรือ TPN กล่าวว่า TPN ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือPSTC ได้ลงนามสัญญาจ้างการก่อสร้างโครงการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับ CPP โดยคณะกรรมการได้คัดเลือกบริษัท CPP มาก่อสร้างและวางท่อขนส่งน้ำมัน เพราะมีความชำนาญด้านการวางท่อขนส่งก๊าซและน้ำมันขนาดใหญ่มากกว่า 40 ปีมีประสบการณ์และผลงานการวางท่อขนส่งน้ำมัน และก๊าซทั่วโลกกว่า 100,000 กิโลเมตร ในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง รัสเซีย และในเอเชีย โดยมีมูลค่าของสัญญาจ้างกว่า 9,000 ล้านบาท และกำหนดระยะเวลาก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 30 เดือน คาดว่าระบบขนส่งน้ำมันดังกล่าว จะเริ่มเปิดดำเนินการได้ประมาณไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้
สำหรับโครงการนี้ประกอบไปด้วยการวางระบบท่อขนส่งน้ำมันระยะทาง 342 กิโลเมตร ผ่าน 55 ตำบล 18 อำเภอ 5 จังหวัด โดยการก่อสร้างเริ่มจากอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ผ่านไปยังเส้นทางอ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ สิ้นสุดที่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น โดยจะมีการก่อสร้างคลังน้ำมันปลายทางที่อ.บ้านไผ่ ขนาด 140 ล้านลิตร ทั้งนี้เมื่อระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อดังกล่าวแล้วเสร็จ จะลดปริมาณการขนส่งน้ำมันทางรถบรรทุกลงไปจำนวน 88,000 เที่ยวต่อปี คิดเป็นการประหยัดเชื้อเพลิงในการขนส่งลงไปได้กว่า 15.4 ล้านลิตรต่อปี และยังช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงถนน รวมทั้งยังทำให้ราคาน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศมีราคาที่ลดลงเพราะมีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำลง
นอกจากนี้บริษัทฯ และCPP อยู่ระหว่างร่วมมือกันในการศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะขยายการวางท่อขนส่งน้ำมันไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศ สปป.ลาว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งน้ำมันไปจำหน่ายยัง สปป.ลาวให้มากขึ้น ปัจจุบัน สปป.ลาว อาศัยการนำเข้าน้ำมันจากประเทศไทยปีละกว่า 1,200 ล้านลิตร และมีแนวโน้มการบริโภคน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นทุกปีจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสังคม