Q4/63 GULF กำไรเพิ่ม 85% หลังรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่เยอรมนี

666
Borkum Riffgrund is MHI Vestas’ first offshore wind project in the German North Sea. The 450MW project is the first German offshore wind farm to feature 8MW turbines and suction bucket jacket foundations. Borkum Riffgrund provides enough clean energy to power more than 460,000 German homes.
- Advertisment-

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2563 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 1,239 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเยอรมนี ในไตรมาส 4 ปี 2563 เป็นไตรมาสแรก หลังจากที่ GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 50% ในเดือน กันยายน 2563 นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 25 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน มีนาคม 2563

ในปี 2563 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 35,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2562 และมี Core Profit เท่ากับ 4,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จาก 3,509 ล้านบาทในปีก่อน โดยปัจจัยหลักคือการรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 กำไรของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG และรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม จำนวน 119 เมกะวัตต์ ประกอบกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงจาก 272.90 บาท / ล้านบีทียู ในปี 2562 เป็น 244.51 บาท / ล้านบีทียู ในปี 2563 ในขณะที่ ค่า Ft เฉลี่ยลดลงในอัตราที่น้อยกว่า จาก (0.1160) บาท / กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2562 เป็น (0.1188) บาท / กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2563 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) สูงขึ้น จาก 23.9% ในปี 2652 เป็น 27.6% ในปี 2563 ทั้งนี้กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 7 โรงภายใต้กลุ่ม GJP ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น เนื่องจากในปี 2562 มีการหยุดซ่อมบำรุงหลัก (Major Overhaul) ของโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 6 โครงการ ในขณะที่ปี 2563 มีโรงไฟฟ้า SPP หยุดซ่อมบำรุงหลักเพียง 1 โครงการ

ในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 12 โรงภายใต้กลุ่ม GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากปี 2563 เป็นปีแรกที่โครงการ 12 SPPs ทั้งหมดภายใต้กลุ่ม GMP ขายไฟฟ้าครบเต็มปีหลังจากทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2560-2562 อย่างไรก็ตาม กลุ่ม GJP และ GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงเล็กน้อยในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2562 เนื่องจากลูกค้าบางส่วนได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสิ่งทอ ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มบรรจุภัณฑ์มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว จึงทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจาก COVID-19 ซึ่งปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวสู่ระดับปกติแล้วในช่วงปลายปี 2563 ปัจจุบัน บริษัทฯ ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในสัดส่วน 88% และขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเพียง 12%

- Advertisment -

นอกจากนี้ กำไรในปี 2563 ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 295 ล้านบาท และ SPCG จำนวน 142 ล้านบาท อีกด้วย ในส่วนของกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่สำหรับปี 2563 เท่ากับ 4,282 ล้านบาท ลดลง 12.4% จากปีก่อน เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.47 เท่า เมื่อเทียบกับข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า เนื่องจากในเดือนกันยายน 2563 บริษัทฯ ได้มีการเพิ่มทุน จำนวน 32,000 ล้านบาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการขยายการลงทุนในอนาคตได้มากกว่า 100,000 ล้านบาท

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่ารายได้ของปี 2564 คาดว่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 50% จากปี 2563 เนื่องมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า IPP 2,650 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2564 อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน พฤษภาคม และตุลาคม 2564 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน จำนวน 326 เมกะวัตต์ (DIPWP) ระยะที่ 1 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้น จาก 6,409 เมกะวัตต์ ในปี 2563 เป็น 7,903 เมกะวัตต์ ในปี 2564 นอกจากนี้ ในปี 2564 บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 และโครงการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ PTT NGD ที่บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 40% ในเดือน ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ประกอบกับรับรู้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในหุ้น INTUCH อีกด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 88% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 มีนาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2564 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 5 มีนาคม 2564 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในวันที่ 9 เมษายน 2564

Advertisment