บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ระบุกรณีภาครัฐกำลังร่าง พ.ร.บ.ค้าน้ำมันฉบับใหม่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผลบังคับใช้ เชื่อต้องการช่วยประชาชนได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง แต่ค่าการตลาดน้ำมันควรเป็นลักษณะที่ผู้ค้าน้ำมันอยู่ได้ด้วย ที่ผ่านมาได้ให้ข้อมูลและหารือร่วมกับภาครัฐโดยตลอด ยืนยันพร้อมรักษาค่าการตลาดในกรอบ 0.70-1.20 บาทต่อลิตร ด้านผลการดำเนินงานทั้งปี 2567 คาดกำไรโตใกล้เคียงปี 2566 ตามทิศทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ขณะที่ยอดขายคาเฟ่ อเมซอน ยังทำนิวไฮต่อเนื่อง
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2024 OR วันที่ 29 ส.ค.2567 ว่ากรณีที่ภาครัฐกำลังร่าง พ.ร.บ. ค้าน้ำมันฉบับใหม่ และจะมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ OR อย่างไรนั้น ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปผลกระทบในภาพรวม ซึ่งหากพิจารณาในภาพรวมแล้ว รัฐบาลต้องการให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันในราคาที่ต่ำลง แต่ในสูตรราคาน้ำมันใหม่ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตามตลาดน้ำมันค้าปลีกเป็นตลาดแข่งขัน ดังนั้นในภาพรวมเข้าใจว่ารัฐบาลจะใช้กลไกที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และภาษี เข้ามาบริหารจัดการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล แต่ในส่วนของค่าการตลาดควรเป็นไปในลักษณะที่ผู้ค้าน้ำมันในประเทศราว 7-8 ราย สามารถอยู่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ ทาง OR และผู้ค้าน้ำมันรายอื่นก็ได้มีการให้ข้อมูลไปกับภาครัฐและหารือร่วมกันเป็นระยะๆ ตลอดมา
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานของ OR ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 คาดว่าผลประกอบการจะอยู่ในระดับใกล้เคียง หรืออ่อนตัวลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่มีรายได้อยู่ที่ 361,922 ล้านบาท มี EBITDA อยู่ที่ 11,016 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 6,260 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ในส่วนของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง แต่ในทางกลับกันหากเงินบาทอ่อนค่าลงก็จะเป็นผลบวกต่อ OR เนื่องจากมีรายรับเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามหากพิจารณารายธุรกิจพบว่า ธุรกิจ Mobility คาดว่าปริมาณการขายจะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลที่เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ขณะที่กำไรขั้นต้นต่อลิตรคาดว่า จะสามารถรักษาค่าการตลาด (Marketing Margin) อยู่ที่ระดับ 0.90 – 1 บาทต่อลิตรได้ ส่วนธุรกิจ Lifestyle ปัจจุบัน EBITDA Margin อยู่ที่สัดส่วน 27% ก็คาดว่าจะสามารถรักษาระดับ 27% ขึ้นไปถึง 28% ได้ ซึ่งในส่วนของคาเฟ่ อเมซอน ยอดขายยังทำนิวไฮต่อเนื่อง เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ 102 ล้านแก้ว และไตรมาส 3 คาดว่าจะยังทำได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านแก้ว และธุรกิจ Global คาดว่าจะเติบโตขึ้น โดยเฉพาะปริมาณการขายจากฟิลิปปินส์ที่กลับมาแล้วและกัมพูชาที่ยังเติบโตจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขายในภาพรวมของธุรกิจต่างประเทศและส่งผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้แนวโน้มค่าการตลาดน้ำมัน ในไตรมาส 3 ปี2567 โดยค่าการตลาดปกติของ OR จะอยู่ที่ระดับ 0.70- 1.20 บาทต่อลิตร ซึ่งในไตรมาส 3 คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ระดับ 0.90-1 บาทต่อลิตร
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2567 คาดว่า กำไรสุทธิจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับผลการดำเนินงาน ในปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 11,094 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณการขาย(วอลุ่ม) สินค้าคอมมูนิตี้ ที่เป็นในส่วนของธุรกิจหลัก มีสัดส่วนราว 70% ของรายได้รวมนั้น จากการที่ OR เผชิญกับผลกระทบจากข่าวปลอม (Fake News) ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ OR ลดลงเล็กน้อย อาจส่งผลให้ภาพรวมของวอลุ่มทั้งปี 2567 นี้ ลดลงราว 3-5% จากปีก่อน
ส่วนธุรกิจ Lifestyle ยังเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่ายอดขายของ คาเฟ่อเมซอนในไตรมาส 3 อาจอ่อนตัวลงบ้างเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน แต่เชื่อว่า ไตรมาส 4 ยอดขายคาเฟ่ อเมซอน จะทำนิวไฮเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ EBITDA Margin จะยังรักษาระดับ 27 -28 % ไว้ และอาจทำได้ดีถึง 29% ส่วนธุรกิจ Global ตัววอลุ่มดีขึ้น และ EBITDA Margin กลับคืนมาระดับ 3-4% ฉะนั้นทั้งปีคาดว่า กำไรทั้งปีจะใกล้เคียงกับปีก่อน
“ทิศทางเศรษฐกิจในปีนี้ ส่วนของเศรษฐกิจโลก IMF ประเมินว่าจะเติบโต 3.2% ส่วน GDP ไทยทั้งปี 2567 สศช.คาดว่าจะเติบโต 2.3-2.8% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่หากเทียบกับ GDP ของประเทศเพื่อนบ้าน พบว่า เศรษฐกิจเพื่อนบ้านเติบโตดีกว่าไทย ฉะนั้นจะเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจ Global ของOR โดยเฉพาะธุรกิจ non oil และจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งปีจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 35.5 ล้านคน แม้จะยังไม่เท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ 41 ล้านคน แต่การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นจะช่วยสนับสนุนยอดขายน้ำมันและน้ำมันเครื่องบิน แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงทั้งจากปัญหาสงครามการค้า การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ต้องการสกัดสินค้าจากจีน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจส่งผลต่อความผันผวนของราคาน้ำมันได้ ซึ่งในปีนี้ กลุ่ม ปตท. (PRISM Experts) คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ 79-89 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าเงินบาท คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 34.5-37.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ”
อย่างไรก็ตามกรณีปริมาณการขายที่ลดลงจากการเสียส่วนแบ่งการตลาดน้ำมัน (มาร์เก็ตแชร์) นั้น ทาง OR ได้จัดทำโปรโมชั่นและแผนการตลาดเพื่อแก้ไขปริมาณการขายให้ฟื้นกลับมา โดยจะเห็นว่าในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ปริมาณการขายเริ่มทยอยกลับคืนมาแต่หากเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 ก็ยังกลับมาไม่ 100% แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ปี 2567 OR มีแผนขยายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เพิ่ม 100 แห่งในประเทศไทย ส่วนต่างประเทศจะขยายตามการเติบโตของเศรษฐกิจประมาณ 20 แห่ง ขณะที่ ร้านคาเฟ่ อเมซอน ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่ม 300 แห่ง
ทั้งนี้ครึ่งแรกปี 2567 (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567) พบว่า OR มีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันเป็นเบอร์ 1 ของประเทศ อยู่ที่ระดับ 39.2% มีสถานีบริการ PTT Station ทั้งสิ้น 2,681 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 2,269 แห่ง ในต่างประเทศ 412 แห่ง มีร้านคาเฟ่ อเมซอน อยู่ที่ 4,652 แห่ง มีสถานีชาร์จ EV Station PluZ จำนวน 963 แห่ง หรือ ติดตั้ง 1,802 หัวชาร์จ ครอบคลุม 77 จังหวัด และมีร้าน Convenience Store จำนวน 2,340 สาขา