IRPC ดันกลยุทธ์ ERA สู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ปี2060

617
- Advertisment-

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2060 ด้วยกลยุทธ์  ERA หรือการ ปรับกระบวนการผลิต มุ่งธุรกิจพลังงานสะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ  พร้อมร่วมกลุ่ม ปตท. สร้างต้นแบบใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์   และปลูกป่าสร้างพื้นที่สีเขียว ด้านราคาน้ำมันคาดปี 2565 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 105 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนด้านราคาปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ยืนยันไม่ชะลอการผลิต เพราะยังคุ้มค่าต่อการลงทุน

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า IRPC ได้กำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดโลกร้อน โดยได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ (บอร์ด) IRPC แล้ว โดย ตั้งเป้าหมายสู่องค์กร Net Zero Emission ในปี 2060 และตั้งเป้าสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 20% ภายในปี 2030 จากปีฐาน 2018 โดยผ่านการดำเนินการด้วยกลยุทธ์ ERA  และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณางบลงทุนสำหรับกลยุทธ์ดังกล่าว

โดย ERA เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ประกอบด้วย 1.Eco – operation & technology หรือการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้นเพื่อลดคาร์บอนฯ ด้วยตัวเองก่อน รวมทั้งเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดทดแทน พร้อมทั้งกำลังดำเนินการศึกษาการใช้พลังงานทางเลือก โดยการลงทุนในโครงการ Solar Rooftop และ โครงการ Solar Farm เพื่อใช้สำหรับกระบวนการผลิตในโรงงานต่อไปในอนาคต

- Advertisment -

ทั้งนี้ IRPC ประสบความสำเร็จจากการสร้างสวนโซลาร์ลอยน้ำในบ่อน้ำดิบสำรองของ บริษัทฯ  บนพื้นที่รวมกว่า 200 ไร่ ซึ่งได้บูรณาการคุณค่าในเชิงการดำเนินธุรกิจที่เสริมความมั่นคงทางด้านพลังงาน และในด้านสิ่งแวดล้อม โดยช่วยลดภาวะโลกร้อนจากการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 9,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้บนเกาะเสม็ดทั้งเกาะ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่

นอกจากนี้ยังมีโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project: UCF) ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลภาวะจากฝุ่นละออง PM 2.5  และเป็นไปตามนโยบายของ IRPC ที่มุ่งมั่นสู่การเป็นโรงงานสีเขียว (Eco Factory) โดยคาดว่าจะพร้อมดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในต้นปี 2024 รวมถึงการแสวงหาเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และธุรกิจใหม่ๆ  ที่ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ

2. Reshape portfolio มุ่งแสวงหานวัตกรรมที่ส่งเสริมธุรกิจคาร์บอนต่ำ ธุรกิจพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ โดยธุรกิจใหม่นอกจากจะต้องคำนึงถึงผลกำไรแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการลดการปล่อยคาร์บอนฯ มากขึ้น

3. Absorption and offset โดยได้ดำเนินการร่วมกับกลุ่ม ปตท. 2 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการปลูกป่า เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  2. โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) หรือ CCS Hub Model 

ทั้งนี้ CCS เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตได้ในระดับหลายล้านตันต่อปีและนำไปกักเก็บในชั้นธรณีที่มีศักยภาพและเหมาะสมแบบปลอดภัยและถาวร  (Permanent Geological Storage) โดยไม่มีการปล่อยกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้อีก โดยจะเริ่มศึกษาในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี  เพื่อเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลสู่ระดับประเทศได้ในอนาคต

นอกจากนี้ได้สร้างการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผ่านกลยุทธ์ความยั่งยืน 3C ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)  การบริหารจัดการตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)  การสร้างคุณค่าเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน (Creating Shared Value) และIRPC ยังให้การสนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการ “Decarbonize Thailand Startup Sandbox”  เพื่อสร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพ ขับเคลื่อนการแสวงหาธุรกิจใหม่โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม (New S-Curve) เกี่ยวกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจพร้อมมุ่งไปสู่ Net Zero Emission

นายชวลิต กล่าวว่า คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในปี 2565 นี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 105 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากที่ผ่านมาราคาน้ำมันได้ผ่านจุดที่ราคาสูงสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 นี้ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีนั้นได้ผ่านจุดราคาตกต่ำสุดไปแล้ว เช่นกัน โดยที่ผ่านมาหลายบริษัทอาจชะลอการผลิตปิโตรเคมี เนื่องจากต้นทุนสูงตามราคาน้ำมันและทำให้ความต้องการใช้ลดลง แต่ IRPC ยืนยันว่ายังคงผลิตปิโตรเคมีต่อไปเนื่องจากยังสามารถดำเนินการให้คุ้มค่าต่อการลงทุนได้

Advertisment