บริษัท IRPC เดินหน้ากลยุทธ์ 5 ปีตามเป้าทั้งสร้างความเข้มแข็งธุรกิจหลักปิโตรเลียมและปิโตรเคมี พร้อมผลิตจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 กว่า 9 หมื่นบาร์เรลต่อวัน รุกพัฒนาเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษเพิ่มสัดส่วนการขายสูงถึง 50% ในปี 2568 มั่นใจไตรมาส 3 ปี 2567 ธุรกิจปิโตรเลียมโตตามดีมานด์ในสหรัฐฯ ที่มากขึ้น ส่งผลดีต่อ IRPC แน่นอน พร้อมเตรียมเดินเครื่องผลิต ABS เต็มกำลังผลิต เดือน พ.ค. 2567 นี้
นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการตามกลยุทธ์ 5 ปี (2567 – 2571) ว่า บริษัทฯ มีกลยุทธ์สร้างความเข้มแข็งของธุรกิจหลัก (Core uplift) 2 ประเภท ได้แก่ 1. ธุรกิจปิโตรเลียม ซึ่ง บริษัทฯ สามารถผลิตและจำหน่ายน้ำมันสะอาดดีเซลกำมะถันต่ำตามมาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่ปลายปี 2566 ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 93,500 บาร์เรลต่อวัน ตามแผนกลยุทธ์ “Domestic first” ที่มุ่งขยายสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมันในประเทศผ่านเครือข่ายคลังน้ำมันทั่วประเทศ รวมทั้งขยายความร่วมมือกับผู้ค้าน้ำมันในประเทศอีกด้วย
และ 2. ธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งบริษัทฯ ได้เพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty products) ให้ได้ 38% ภายในปี 2567 และ 50% ในปี 2568 ด้วยกลยุทธ์ “Specialty boost” เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและประสบการณ์อันยาวนาน โดยมีความสำเร็จในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2567
อาทิ ด้านธุรกิจท่อและโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ เม็ดพลาสติก POLIMAXX HDPE 100 RC ใช้ในการผลิตท่อทนต่อแรงดันและรับแรงกระแทกสูง ตามมาตรฐาน EN1555-2021 อายุใช้งานยาวนานถึง 50 ปี สามารถติดตั้งท่อแบบเจาะลอดใต้ผิวดิน ช่วยลดปัญหาการขุดเจาะและเปิดหน้าดิน ลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการติดตั้ง ปัจจุบันบริษัทฯ ส่งออกเม็ดพลาสติก POLIMAXX PE100 RC ไปยังหลายภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกาและอินเดีย เป็นต้น
และเม็ดพลาสติก POLIMAXX PPR ใช้ในการผลิตท่อที่ทนต่อแรงขีดข่วนและแรงดัน ทนต่อสารเคมีได้มากกว่าท่อน้ำประปาทั่วไป มีความปลอดภัยเพราะผลิตจากเทคโนโลยีแบบไร้สารทาเลต (Non Phthalate) เหมาะสำหรับผลิตท่อน้ำร้อนน้ำเย็นในครัวเรือน คอนโดและโรงงานอุตสาหกรรม สามารถเชื่อมต่อกันระหว่างท่อได้โดยใช้ความร้อนและมีอายุการใช้งานยาวนาน
ด้านธุกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย ซึ่งเม็ดพลาสติก POLIMAXX PP Spunbond และ PP Meltblown (พีพี สปันปอนด์และ พีพี เมลต์โบลน) สำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย เช่น หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ ชุด PPE ผ้าอ้อมเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงแผ่นกรองต่าง ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงเพราะไม่มีสารทาเลต (Phthalate free)
ด้านธุรกิจยานยนต์ และอิเล็คทรอนิกส์นั้น มี Acetylene Black (ACB) (อะเซติลีนแบล็ก) ซึ่งมีคุณสมบัติการนำไฟฟ้า ลดไฟฟ้าสถิตย์ ช่วยในการถ่ายเทประจุความร้อน ดูดซึมความชื้นต่ำ มีความบริสุทธิ์สูง สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น แบตเตอรี่ในรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) เป็นต้น
ด้านธุรกิจสีและสารเคลือบ บริษัทฯ ได้ร่วมกับบริษัท เบเยอร์ จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบมาตรฐานโลกเป็นครั้งแรกของประเทศ ด้วยส่วนผสม Polytetrailuoroethyene (PTFE) ที่มีคุณสมบัติพิเศษมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ช่วยยืดอายุการใช้งานโครงสร้างเหล็กถึงสามเท่า สำหรับใช้เคลือบโครงสร้างเหล็กในโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี สนามบิน ท่าเรือและสะพาน เป็นต้น
สำหรับความก้าวหน้าในกลยุทธ์การลงทุนแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ (Step up & Beyond) บริษัทฯ ได้ลงทุนใน บริษัท วิสอัพ จำกัด (VISUP)ในสัดส่วน 22% โดยมีความสนใจในเทคโนโลยีกลุ่ม Digital Temperature Indicator (DTI) ที่ร่วมกันวิจัยและพัฒนา รวมถึง
ต่อยอดกับ หมึกนำไฟฟ้า (Conductive ink) ของบริษัทฯ โดยประยุกต์ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ สามารถติดตามสินค้า ตรวจสอบสภาพสินค้า และให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคได้
“บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินนโยบายทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ลดต้นทุนการผลิต และต้นทุนพลังงานจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ บริษัทฯ พร้อมลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2603”
นายกฤษณ์ กล่าวด้วยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 คาดว่า ผลประกอบการจะเป็นบวกและเติบโตขึ้นจากปี 2566 ซึ่งจะเป็นการขยายตัวตามแผนธุรกิจที่ตั้งไว้ โดยจะเห็นได้จากไตรมาสแรกในปี 2567 นี้ ผลการดำเนินงานมีกำไร แม้ว่าไตรมาส 2 ของปีนี้ ผลการดำเนินงานจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว แต่เชื่อว่าในไตรมาส 3 ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด) ธุรกิจปิโตรเลียมจะเริ่มดีขึ้นตามดีมานด์ความต้องการใช้น้ำมันจากเทศกาลเดินทางท่องเที่ยวในสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจแก๊สโซลีน ขณะที่สเปรดธุรกิจปิโตรเคมียังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะสเปรดของผลิตภัณฑ์ ABS จะยังอยู่ในระดับสูงจนถึงสิ้นปี 2567 นี้ ปัจจุบันสเปรดABS อยู่ที่ประมาณ 700 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 350 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และต้องเดินกำลังการผลิต ABS เต็มที่ ราว 1.8 แสนตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังผลิตได้ในช่วงปลายเดือน พ.ค.2567 นี้ จากก่อนหน้านี้ต้องหยุดซ่อมบำรุง และลดกำลังผลิตลงเหลือราว 40%
“ ปี2568 ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นจากปี 2567 แม้จะไม่ดีเท่ากับอดีต แต่จะเติบโตตามแผนธุรกิจที่ประเมินว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะ recovery ในปี 2568”
ส่วนนโยบายกระตุ้นการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของภาครัฐผ่านมาตรการของบีโอไอนั้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์ ABS ที่เป็นส่วนประกอบของรถ EV และหากบริษัทที่ลงทุนผลิตรถ EV เริ่มการผลิตก็จะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขาย ABS ในประเทศให้กับบริษัทเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันบริษัทส่งออก ABS สัดส่วน 60% และขายในประเทศ 40%