IEEE PES DAY 2023 เสวนา“Powering a Climate Safer Future” กระตุ้นรัฐและเอกชน ปรับตัวเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ตอบโจทย์เป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ ในปี ค.ศ.2050
เนื่องในโอกาสครบรอบ 23 ปี ของ สมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) (IEEE PES – Thailand) จัดเสวนา IEEE PES DAY 2023 ครั้งที่ 6 ในหัวข้อ “Powering a Climate Safer Future” ในวันที่ 25 เมษายน 2566 เวลา 10.00 – 12.00 น. เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดและความคิดเห็นกันระหว่างหน่วยงานทางด้านพลังงาน ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน พร้อมทั้งมุมมอง รูปแบบแนวคิดการดำเนินงานด้านพลังงานสะอาด รวมถึงการสร้างเครือข่ายพลังงานสะอาดให้กับสังคมเพื่อให้มีความยั่งยืนต่อไป โดยได้รับเกียรติจาก คุณวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กล่าวเปิดงานฯ และผู้บริหารขององค์กรภาครัฐ และเอกชน ได้แก่ ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ( ส.อ.ท.) คุณรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และรองศาสตราจารย์ ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเป็นวิทยากร โดยมี คุณฉัตรชัย มาวงศ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิศวกรรมและก่อสร้างโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ ณ ห้องประชุมชั้น 12A อาคารวัฒนวิภาส อาคารบี การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
โดยสาระสำคัญ ในเนื้อหาการบรรยายของ คุณรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ระบุถึงความพยายามในการที่จะบริหารจัดการในภาพรวมของ อบก.ทำแนวทาง ( guideline ) เรื่อง Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ตลอดทั้งซัพพลายเชน ไม่ใช่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งปัจจุบันยังมีความแตกต่างกันและมีหลายมาตรฐานทั้งในฝั่งของยุโรปและสหรัฐอเมริกา
โดยเป้าหมายการจัดการ Carbon Neutrality ระดับประเทศนั้นให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ แต่ในระดับองค์กร บริษัทต่างๆ เป็นเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
ซึ่งภาครัฐกำลังจะมีการยกร่างกฏหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกมาบังคับใช้ จากเดิมที่การลดการปล่อยคาร์บอน เป็นเรื่องของภาคสมัครใจ
ในส่วนการบรรยาย ของดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สรุปให้เห็นถึงความยุ่งยากในกระบวนการดำเนินงานเรื่องการปรับลดคาร์บอนของบริษัทในประเทศไทย ทั้งในส่วนของกฏระเบียบภาครัฐที่ยังไม่เอื้ออำนวยให้ดำเนินการได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับบริษัทRE100 ที่มีเป้าหมายต้องการจะใช้พลังงานหมุนเวียนทั้ง100 % ในขณะที่มาตรฐานที่ให้การรับรองทั้งจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป สำหรับไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนก็เป็นคนละมาตรฐานกัน ดังนั้นในภาพรวม บริษัทส่งออกที่ทำการค้าส่งออกกับประเทศใด ก็จะพยายามยึดถือแนวปฏิบัติตามกฏระเบียบของประเทศนั้น ที่จะออกมาใช้กีดกันทางการค้า โดยหากบริษัทนั้นๆซึ่งรวมถึงซัพพลายเออร์ไม่มีการปรับตัวรองรับ ก็จะต้องแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่าย ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้โดยหลักของมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM ที่ทางยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะนำมาใช้มีหลักการสำคัญใน 3 เรื่อง คือ 1.การชดเชยความได้เปรียบด้านต้นทุนให้กับบริษัทที่ลงทุนเรื่องการลดการปล่อยคาร์บอน 2.ปรับระดับความสามารถในการแข่งขันระหว่างบริษัทในยุโรปและสหรัฐอเมริกา และ 3. การกำหนดราคาคาร์บอน
โดย ดร.สุวิทย์ ยังให้คำแนะนำต่อ SME ไทยที่ต้องมีการส่งออกหรือต้องซัพพลายสินค้าให้กับบริษัท RE100 ในไทย ด้วยว่า จะต้องเร่งทำความเข้าใจกับเรื่องนี้และปรับตัว โดยบางธุรกิจที่เป็นภาคการผลิต เป็นเรื่องยากที่จะไปให้ถึงRE100 แต่ถ้าทำให้ได้ถึง RE 30 ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว
ส่วน รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งบรรยายในเรื่อง New Energy Trend ในอนาคตของประเทศ ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย สรุปประเด็นที่น่าสนใจ ว่า ตามเป้าหมายที่ไทยจะลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 40 % ในปี 2030 CarbonNeutralityในปี 2050 และ Net-Zero Emissions ในปี 2065 นั้น แนวโน้มเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าในอนาคตของไทย จะเน้นไปที่มาตรการการอนุรักษ์พลังงานเพื่อลดความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตทั้งมาตรการบังคับในภาคอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์รวมทั้งมาตรการส่งเสริมในภาคครัวเรือน
การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าใช้เองโดยเฉพาะ โซลาร์รูฟท็อป การนำเทคโนโลยีระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานเพื่อสร้างความสมดุลให้ระบบผลิตไฟฟ้าที่มีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในระดับสูง ในขณะที่โรงไฟฟ้าหลักขนาดใหญ่ที่เป็นโรงไฟฟ้าฐานนั้นจะมีเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบ โดยปรับให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำร่วมด้วย
ทั้งนี้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ แผนพีดีพี ที่กำลังมีการจัดทำเป็นแผนใหม่นั้น มีทางเลือกที่จะให้ใช้พลังงานไฮโดรเจนผสมรวมกับก๊าซธรรมชาติ ที่จะเริ่มเข้าระบบในปี 2030 และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเตาปฏิกรณ์มอดูลาร์ขนาดเล็ก ( Small Modular Reactor -SMR )ที่จะเข้าระบบในช่วง 3 ปีสุดท้ายของแผน
–