EGCO คาดไทยมีโอกาสเกิดพีคไฟฟ้าฤดูร้อนนี้ เชื่อเป็นโอกาสพลังงานทดแทนเข้ามาเสริมระบบความมั่นคงไฟฟ้าไทย

373
- Advertisment-

EGCO Group คาดไทยมีโอกาสเกิดพีคไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนปี 2567 จากสภาพอากาศและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เชื่อเป็นโอกาสของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเข้ามาช่วยเสริมระบบ มั่นใจสำรองไฟฟ้าไทยเพียงพอไม่เกิดปัญหาไฟฟ้าตกดับและ กฟผ. ยังดูแลความมั่นคงไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี ส่วนผลดำเนินงานธุรกิจปี 2567 มั่นใจพลิกมีกำไร เล็งปิดดีล M&A 2-3 โครงการ รับรู้รายได้ทันที ลั่นโครงการ Yunlin ในไต้หวัน ทยอยติดตั้งครบ 640 เมกะวัตต์ในปี 2567 นี้

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เปิดเผยว่า คาดว่าการใช้ไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนนี้ปี 2567 นี้ อาจจะเกิดยอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ของประเทศขึ้นอีกรอบ เนื่องจากการใช้ไฟฟ้าจะปรับสูงขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยจะไม่เกิดปัญหาไฟฟ้าตกดับ เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คอยดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสำรองไฟฟ้ายังมีปริมาณสูงเพียงพอ

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group

อย่างไรก็ตามปริมาณสำรองไฟฟ้าของไทยที่สูง (ประมาณ 50% ของการใช้ไฟฟ้าในประเทศ) ถือเป็นเพียงสำรองไฟฟ้าสูงในระยะสั้น เนื่องจากที่ผ่านมาไทยวางแผนสำรองไฟฟ้าอย่างเหมาะสม แต่เมื่อเกิดปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดการใช้ไฟฟ้าลดลงมาก เป็นเหตุให้สำรองไฟฟ้าไทยพุ่งขึ้นสูง อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ปริมาณสำรองไฟฟ้าดังกล่าวจะลดลง เนื่องจากยอดการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจไทยยังน่าจะเติบโตได้มากกว่านี้อีก    

- Advertisment -

ทั้งนี้ปกติการใช้ไฟฟ้าในฤดูร้อนของไทยจะปรับเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ยอดการผลิตไฟฟ้าของภาคเอกชนสูงขึ้นตามไปด้วย และยังเป็นโอกาสให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นได้ด้วย เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจะเข้ามาช่วยเสริมระบบไฟฟ้าในช่วงพีคไฟฟ้าได้

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 คาดว่าจะพลิกกลับมาทำกำไรได้ จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 56,983 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,734 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วกว่า 40 โครงการ รวมถึงการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการที่เข้าลงทุนในปี 2566 ได้แก่ โรงไฟฟ้า RISEC กลุ่มโรงไฟฟ้า Compass บริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI อีกทั้ง ยังรับรู้รายได้เพิ่มจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย กำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2567 และการทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการ Yunlin รวมทั้งการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนภายใต้ APEX ตลอดจนผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Paju ES ที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาจากสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีโอกาสการลงทุนใหม่ในอนาคตอันใกล้ที่คาดว่าจะสามารถปิดดีลโครงการใหม่ในรูปแบบ M&A อีก 2-3 โครงการ ภายในปี 2567 ซึ่งจะเน้นโครงการที่รับรู้รายได้ทันที อีกทั้ง มีโอกาสสูงมากในการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ที่จะหมดสัญญาในเดือน พ.ค. ปี 2568 โดยคาดว่าจะทราบผลการเจรจาที่ชัดเจนเร็ว ๆ นี้

“ปีนี้ จะไม่มีการรับรู้การด้อยค่าจากโครงการ Yunlin และคาดว่าโครงการ APEX ที่พันธมิตรดำเนินโครงการจะมีการขายการลงทุนโครงการบางส่วนออกไปราว 75% หรือ ราว 200-220 เมกะวัตต์ ที่น่าจะชัดเจนภายในปีนี้ ซึ่งก็จะมีการรับรู้รายได้เข้ามา”

ทั้งนี้ การดำเนินงานในปี 2567 EGCO Group มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้กลยุทธ์ “4S” ด้วยการเตรียมงบลงทุน 30,000 ล้านบาท และกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 1,000 เมกะวัตต์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนและเดินเครื่องโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ที่โรงไฟฟ้าเหล่านั้นตั้งอยู่ รวมทั้งการขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียน โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ก็จะเร่งรัดบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงาน และบริหาร Portfolio และโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 40 แห่ง รวมทั้งธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับความคืบหน้าของโครงการ Yunlin ปัจจุบันโครงการได้ติดตั้งเสากังหัน (Monopile) แล้วเสร็จรวม 45 ต้น ซึ่งเป็นกังหันลม (Wind Turbine Generator) ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 33 ต้น คิดเป็นกำลังผลิตรวม 264 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีอัตราการผลิตไฟฟ้า (Capacity Factor) เฉลี่ยของโครงการสูงกว่า 40% ยืนยันศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2563-2564 โครงการได้เผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ไต้หวันมีมาตรการควบคุมการเข้าออกประเทศที่เข้มงวดและมีการประกาศปิดประเทศ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางและการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในการก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมในช่องแคบไต้หวัน ทำให้มีระยะเวลาที่เหมาะสมแก่การทำงานจำกัด จากสาเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดย EGCO Group ได้เร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด

ดังนั้น ในปี 2566 โครงการจึงมีการปรับแผนการก่อสร้าง ปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้น เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่งผลให้ EGCO Group จำเป็นต้องรับรู้ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้น รวมถึงการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด ปัจจุบันโครงการมีความพร้อมทุกด้านในการผลักดันและเดินหน้าการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน โดยมีกำหนดแล้วเสร็จครบ 80 ต้น กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567

Advertisment