ประชานิยมเรื่องลดค่าไฟ ของรัฐบาลเศรษฐา โดยไล่บี้ กฟผ. ท้ายที่สุดประชาชนต้องแบกรับภาระ
รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีกำหนดที่จะแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ในวันที่ 11-12 กันยายน 2566 นี้ โดยหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน ที่รัฐบาลชุดนี้จะดำเนินการ คือ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และก๊าซหุงต้ม ให้แก่ประชาชน ซึ่งระบุว่าจะปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที
ที่ผ่านมา รัฐบาลชุดก่อนได้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยปรับลดในส่วนของค่าไฟฟ้าที่เป็นต้นทุนผันแปร หรือที่เรียกว่าค่าเอฟที โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลค่าไฟฟ้า ได้มีการพิจารณาให้ปรับลดค่าเอฟทีลงมาแล้ว โดยในงวดล่าสุดเดือนกันยายน- ธันวาคม 2566 ประมาณ 25 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยโดยรวมลดลง จาก 4.70 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.45 บาทต่อหน่วย ซึ่งหากรัฐบาลเศรษฐาจะลดค่าไฟลงทันที ก็หมายความว่าจะปรับลดเพิ่มจากมติ กกพ. ที่เคยได้ปรับลดลงไปแล้ว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ เดือนกันยายน 2564 จนถึง เมษายน 2566 ค่าเอฟทีที่ประชาชนต้องจ่าย เป็นอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจริง เพราะนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา ที่ให้ กฟผ. ช่วยแบกภาระส่วนต่างเอาไว้ก่อน เพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชน ทำให้ภาระต้นทุนเชื้อเพลิงที่ กฟผ. ต้องแบกรับแทนประชาชน นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 จนถึงเดือนเมษายน 2566 คิดเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง รวม 138,485 ล้านบาท
การแบกรับภาระแทนประชาชนดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของ กฟผ. จนต้องมีการกู้เงินมาเสริมสภาพคล่อง การขอขยายระยะเวลานำเงินส่งรัฐ การขอขยายเวลาชำระค่าเชื้อเพลิงให้ ปตท.
นอกจากนั้น การคำนวณค่าเอฟทีโดยคาดการณ์ล่วงหน้า (ก.ย.-ธ.ค.2566) ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ตัวเลขต้นทุนเชื้อเพลิงจริงอาจจะสูงกว่าที่ กกพ. ใช้คำนวณ สัญญาณที่เป็นปัจจัยลบจากการผลิตก๊าซของแหล่งเอราวัณ (G1/61) ที่อาจจะไม่มาตามนัด จากเป้าหมายที่ตั้งใจจะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าสิ้นปีนี้กำลังการผลิตอาจจะทำได้เพียง 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเท่านั้น ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่ามาทดแทน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นกว่าตัวเลขที่ กกพ. คาดการณ์เอาไว้
ดังนั้น ในการคำนวณค่าเอฟทีงวดเดือนกันยายน ถึง เดือนธันวาคม 2566 กฟผ. จึงมีหนังสือแจ้งถึง กกพ. ว่า กฟผ. มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการทยอยคืนเงินจากภาระต้นทุนเชื้อเพลิงที่ กฟผ. แบกรับแทนประชาชนดังกล่าว และไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนแทนประชาชนได้อีก เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนัก จึงจำเป็นต้องได้รับการทยอยจ่ายคืนเงินส่วนที่ กฟผ. เคยแบกรับไว้ ตามงวดการจ่ายที่นำเสนอ กกพ. เป็นเงินประมาณ 23,428 ล้านบาท
ซึ่งหากเป็นไปตามมติ กกพ. ในการคิดค่าเอฟทีงวดกันยายน-ธันวาคม 2566 ก็จะเหลือภาระต้นทุนจริงที่ กฟผ. ยังต้องแบกรับแทนประชาชนอีก จำนวน 111,869 ล้านบาท โดยเงินส่วนที่ได้รับนี้ กฟผ. จะนำไปใช้ในการบริหารสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ การชำระคืนดอกเบี้ยเงินกู้ และการจ่ายชำระค่าเชื้อเพลิงให้กับ ปตท.
–
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในแนวทางพิจารณาลดค่าไฟฟ้าทันทีตามนโยบายของรัฐบาลเศรษฐาที่จะนำเข้าพิจารณาในการประชุม ครม. นัดแรก คือให้ กฟผ. แบกรับภาระหนี้ต้นทุนเชื้อเพลิงไปก่อน โดยยังไม่ต้องขอรับการทยอยจ่ายคืนตามงวดที่เคยแจ้งต่อ กกพ. เป็นเงินประมาณ 23,428 ล้านบาท ดังนั้น หากรัฐบาลยังยืนยันแนวทางที่จะให้ กฟผ. แบกรับภาระ ก็อาจจะทำให่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อการชำระหนี้เงินกู้ การชำระค่าเชื้อเพลิง และการนำเงินกำไรส่งรัฐ
ที่ผ่านมา ผู้บริหาร กฟผ. ให้สัมภาษณ์สื่อสารไปยังประชาชนและรัฐบาล ว่าการแบกภาระต้นทุนเชื้อเพลิงแทนประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ค่าไฟฟ้าต้องปรับสูงขึ้นตามต้นทุนจริงในช่วงที่ผ่านมานั้น เหมือนกับลาที่แบกสัมภาระอันหนักอึ้ง จนหากมีใครวางเศษฟางลงบนหลังลาอีกเพียงเส้นเดียวก็อาจจะทำให้ลาตัวนั้นล้มลงได้
ดังนั้น การประชุมคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลเศรษฐานัดแรกที่จะมีขึ้นหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ซึ่งจะมีวาระการลดราคาพลังงานรวมทั้งค่าไฟฟ้าโดยทันที นั้น รัฐบาลจึงต้องมองถึงแนวทางอื่นๆ มาดำเนินการ เช่น การจัดสรรงบประมาณส่วนอื่นมาช่วยเหลือลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และช่วยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบาง เช่นเดียวกับที่รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ได้เคยดำเนินการ เพราะหากให้ กฟผ. ยังต้องแบกรับภาระหนี้ที่หนักอึ้งเช่นเดิม กฟผ.ก็จะประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถจ่ายคืนดอกเบี้ย และค่าเชื้อเพลิงได้ตรงตามเวลาที่กำหนด ยกเว้นว่ากระทรวงการคลังจะมีมาตรการอื่นใดที่จะมาช่วย กฟผ. แก้ปัญหาสภาพคล่อง
นอกจากนั้น กระทรวงการคลังที่นายเศรษฐานั่งควบเป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่อีกตำแหน่ง ต้องไม่ลืมว่าการที่ กฟผ. ต้องกู้เงินเพิ่ม ก็คือจะเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ และหากสัดส่วนหนี้เงินกู้ของ กฟผ. สูงเกินไป ก็จะกระทบต่อเครดิตเรทติ้งของ กฟผ. กระทบต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งในท้ายที่สุด ภาระทั้งหมดนี้ก็จะต้องถูกส่งผ่านไปที่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าอยู่ดี
นโยบายประชานิยมเรื่องค่าไฟที่มุ่งแก้ปัญหาให้ประชาชนในระยะสั้น แต่ใช้วิธีการซ้ำเติมฐานะการเงินของ กฟผ. ให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ จนไม่สามารถลงทุนเพื่อคงบทบาทการสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้าให้กับประเทศได้ จะกลายเป็นผลเสียที่ตกอยู่กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า ที่ต้องแบกภาระต้นทุนค่าไฟต่อเนื่องไปอีกในระยะยาว
–