แม้จะมีการส่งสัญญาณจากพรรคแกนนำที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ว่ายังไม่ควรมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ( Power PurchaseAgreement หรือ PPA ) ในโครงการใหม่ แต่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยืนยันกระบวนการลงนาม PPA โครงการโรงไฟฟ้าสีเขียวเฟสแรกกว่า 5 พันเมกะวัตต์ ยังเดินหน้าตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรออัยการสูงสุดตรวจสอบสัญญา หากแล้วเสร็จก่อนมีรัฐบาลใหม่ ทั้ง กฟผ.และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สามารถลงนามในสัญญาได้ทันที โดยเป็นไปตามมติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า กระบวนการภายหลังจากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้าร่วม “โครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565” หรือ โครงการไฟฟ้าสีเขียว เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 175 ราย รวมกำลังผลิตไฟฟ้า 4,852.26 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 5,203 เมกะวัตต์ ยังเดินหน้าไปตามขั้นตอน โดยทาง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ( กกพ.) ยังไม่ได้มีคำสั่งให้ชะลอการลงนามซื้อขายไฟฟ้า ( Power Purchase Agreement หรือ PPA )ตามที่มีการส่งสัญญาณมาจากพรรคแกนนำที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แต่อย่างใด
โดยผู้ที่ผ่านเข้าร่วมโครงการตามที่ กกพ.ประกาศรายชื่อ จะต้องลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ตามกรอบที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่ผ่านมา มีมติกำหนดเอาไว้ ประกอบด้วย ผู้ที่จะผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2567-2568 ต้องลงนาม PPA ภายใน 180 วัน (6 เดือน) นับจากวันที่ลงนามยอมรับเงื่อนไขกับการไฟฟ้า ส่วนผู้ที่จะ COD ระหว่างปี 2569-2573 จะต้องลงนาม PPA ภายใน 2 ปี นับจากวันที่ลงนามยอมรับเงื่อนไขกับการไฟฟ้า (19 เม.ย. 2566)
โดยแหล่งข่าวคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า การลงนามสัญญา PPA โรงไฟฟ้าสีเขียว เฟสแรก ยังคงเป็นไปตามกระบวนการปกติของกฎหมาย โดย กกพ. ไม่ได้เร่งรัดหรือดึงรั้งการลงนาม PPA แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้นำส่งสัญญา PPA มาให้ กกพ.พิจารณาตรวจสอบว่าเป็นไปตามประกาศของ กกพ.และเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ผ่านมาหรือไม่ และหลังจาก กกพ. ตรวจสอบเสร็จแล้ว ก็ได้สั่งการให้ กฟผ.นำสัญญาดังกล่าวส่งไปให้ทางอัยการสูงสุดตรวจสอบต่อไป
โดยหากอัยการสูงสุดเห็นชอบแล้ว ทาง กฟผ.มีหน้าที่ต้องลงนาม PPA กับโรงไฟฟ้าที่ผ่านการพิจารณา แต่หาก กฟผ.ไม่สามารถลงนามได้ ทาง กฟผ.จะต้องส่งคำชี้แจงและเหตุผลมายัง กกพ. ให้รับทราบด้วย เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขต่อไป
ดังนั้นขั้นตอนในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับว่าทางอัยการสูงสุดจะตรวจสอบสัญญาแล้วเสร็จเมื่อไหร่ หากเสร็จก่อนมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทาง กฟผ.ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ที่ กพช. เดิมมีมติสั่งการไว้ เนื่องจากมติ กพช. มีผลในทางกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม แต่หากทางอัยการสูงสุดตรวจสอบเสร็จหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว ก็จำเป็นต้องรอคำสั่งจากรัฐบาลใหม่ก่อนว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตามหากการลงนาม PPA ล่าช้า ก็จะส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าสีเขียวล่าช้าไปด้วย เนื่องจากโรงไฟฟ้าสีเขียวต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีกว่าจะสร้างเสร็จ และส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่อาจถูกมาตรการกีดกันทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดด้านการผลิตสินค้าโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนโยบาย Green Energy ก็จะไม่ได้ตามเป้าหมาย และการลงทุน รวมทั้งการขอส่งเสริมการลงทุน ก็จะกระทบตามไปด้วย
ทั้งนี้ยืนยันว่าการลงนาม PPA ยังดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดอยู่ และทาง กกพ.ไม่ได้ชะลอการลงนามดังกล่าวแต่อย่างใด