GPSC แจงผลประกอบการไตรมาส 2/2566 กำไรลดลง 55% เมื่อเทียบกับปีก่อน ชี้ปัจจัยหลักจาก โรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงาน ระยะที่ 5 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงาน และผลการดำเนินงานของโครงการไซยะบุรีปรับตัวลดลงตามปริมาณน้ำที่ลดลงตามฤดูกาล รวมถึงกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า IPP ลดลง เนื่องจากโรงไฟฟ้าศรีราชาและโรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี มีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักแทนก๊าซธรรมชาติลดลง ตามแผนการเรียกรับไฟฟ้าของ กฟผ. อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน AEPL เพิ่มขึ้นจากโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น
นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้า กลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2566 มีรายได้ทั้งสิ้น 23,056 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 309 ล้านบาท ลดลง 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นผลมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโครงการไซยะบุรี (XPCL) ลดลงเนื่องจากปริมาณน้ำลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งในปีนี้ไม่มีการรับรู้กำไรรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างการถือหุ้นธุรกิจแบตเตอรี่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ในขณะที่ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปรับสูงขึ้นของค่า Ft ส่งผลให้มาร์จิ้น จากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่าต้องเผชิญกับต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
นายวรวัฒน์กล่าวว่า เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566 (QoQ) กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 72% เนื่องจากค่า Ft ปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวต้นทุนเชื้อเพลิงจะมีการปรับตัวลดลงบางส่วน ประกอบกับโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงาน ระยะที่ 5 มีการหยุดซ่อมบำรุง 25 วัน และโรงไฟฟ้า ศรีราชา และโกลว์ไอพีพี ไม่มีการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นไปตามแผนเรียกรับไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 997 ล้านบาท เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นของค่า Ft ที่สอดคล้องกับต้นทุนราคาพลังงานมากขึ้น ทำให้มาร์จิ้นของการขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมสูงขึ้น
ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวมากขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับ 3.6% จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว รวมถึงการบริโภคของภาคเอกชนและการส่งออกของไทยจะทยอยฟื้นตัวใกล้เคียงหรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้ ส่งผลให้มีแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น