พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC แจงเหตุผลทุ่มเงินลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.48 แสนล้านบาท ซื้อกิจการ Allnex Holding GmbH (“allnex”) ผู้ดำเนินธุรกิจสารเคลือบวัสดุชั้นนำระดับโลก เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์ คาดปิดดีลได้ภายใน ธ.ค. 2564 และเริ่มรับรู้รายได้ ปี 65
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า GC ได้ใช้เงินลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท 148,000 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการ Allnex Holding GmbH (“allnex”) โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2564 ที่ผ่านมา PTTGC International (Netherlands) B.V. (“GC Inter B.V.”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ของ GC ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายกิจการ Allnex Holding GmbH (“allnex”) กับ Allnex Holdings S.à.r.l and Allnex S.à.r.l, (“ผู้ขาย”) ซึ่งเป็นกองทุนภายใต้การบริหารของ Advent International (“Advent”) โดยคาดว่าดีลดังกล่าวจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายใน ธ.ค. 2564 นี้
การลงนามดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญของ GC Group ในการปรับ Portfolio เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมถึงผสานนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย
โดยบริษัท Allnex เป็นผู้ประกอบการด้าน Coating Resins และ Crosslinkers หรือธุรกิจสารเคลือบวัสดุต่างๆ ชั้นนำของโลก ซึ่งมีผลประกอบการดีทั้งก่อนและหลังสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งยังมีตลาดทั้งกลุ่มยุโรป สหรัฐฯ และเอเชีย ซึ่งปัจจุบันธุรกิจสารเคลือบเติบโตสูง เนื่องจากวัสดุต่างๆในชีวิตล้วนต้องใช้สารเคลือบ เช่น สี , อุปกรณ์รถยนต์,เรือเดินสมุทร,โลหะ,ไม้, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น
โดยจุดเด่นของ Allnex Holding คือสารทำละลายปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมน้อยมาก เพราะ Allnex Holding มุ่งเน้นด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งตรงกับเป้าหมายของ PTTGC เช่นกัน ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้จะส่งผลดีกับทั้งสองบริษัท โดย PTTGC จะได้ทักษะขั้นสูงของเทคโนโลยีสารเคลือบ และได้ทีมงานระดับมืออาชีพกว่า 4,000 คนของ Allnex Holding ขณะที่ PTTGC มีวัตถุดิบสำหรับผลิตสารเคลือบและมีการเติบโตทางธุรกิจในเอเชีย ซึ่ง Allnex Holding สามารถสร้างตลาดเอเชียได้มากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ allnex มีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านยูโร หรือ 74,167.2 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.08 บาท ต่อ 1 ยูโร) โดยมี EBITDA Margin อยู่ที่ 17 – 19% นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายโรงงานการผลิตที่ทันสมัย 33 แห่งใน 18 ประเทศ ศูนย์การวิจัยและเทคโนโลยีอีก 23 แห่ง มีพนักงานประมาณ 4,000 คนทั่วโลก ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน allnex จึงเป็นผู้นำกว่า 70 ปี ในการผลิตและพัฒนานวัตกรรม Coating Resin สามารถใช้กับเทคโนโลยีการเคลือบที่หลากหลายและครอบคลุมการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ เหล็ก ยานยนต์ และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น
“ดีลนี้ มีมูลค่า 148,000 ล้านบาท ถือเป็นดีลที่มีมูลค่ามากที่สุดในการเข้าซื้อกิจการของ GC นับเป็นดีลประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ซึ่ง GC ก็ยังมีการศึกษาโอกาส M&A ในโครงการอื่นๆที่เป็น HVB แต่คงจะไม่มีมูลค่าใหญ่เท่ากับ allnex และตอบไม่ได้ว่าจะปิดดีลในปีนี้หรือไม่”
นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของ GC ในปี 2564นี้ ยังมั่นใจว่า ปริมาณการขายจะเติบโตตามเป้าหมายประมาณ 8-10% ตามการทยอยเปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ 3 โครงการใหม่ ได้แก่ 1. โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP), 2โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และ 3 โครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) ซึ่งจะหนุนกำลังการผลิตเพิ่ม ขณะที่ไตรมาส 2 การเติบโตยังไปได้ดีแต่คงไม่หวือหวาเท่าไตรมาส 1 ที่ผ่าน ส่วนทิศทางตลาดในครึ่งปีหลัง อาจอ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรก เช่น ผลิตภัณฑ์ด้านการกลั่นอ่อนตัวลง รวมถึงผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ มาร์จินลดลง
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี GC กล่าวว่า สำหรับสถานะการเงินของ GC ปัจจุบันอยู่ในระดับแข็งแกร่งมาก หลังปิดงบการเงินไตรมาส 1 ของปี 2564 มีเงินสดในมือประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่ถ้านำเงินไปฝากก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาไม่ถึง 1% ดังนั้น การได้ดีล allnex ที่มีมูลค่า 4,002 ล้านยูโร หรือ 148,000 ล้านบาท แม้จะมีมูลค่าสูง แต่เงินสดในมือก็มีเพียงพอ ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน และยังมีเงินจากการขายหุ้นกิจการไฟฟ้าของ GPSC ออกไปอีก 2.3 หมื่นล้านบาท มีวงเงินการค้าชำระวัตถุดิบที่สามารถขยายอายุการจ่ายเงินได้อีก 3.2 หมื่นล้านบาท และยังมีเงินจากผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี มีเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำจาก ปตท. อีก 73,920 ล้านบาท และธนาคารต่างๆ ยังเสนอให้กู้อีก 1,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ บริษัทคาดว่าต้องกู้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้จะกู้หรือออกหุ้นกู้ก็ต้องพิจารณาต่อไป เรียกได้ว่า บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินสูงมาก และการซื้อกิจการครั้งนี้ ไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผล
“ allnex มีอัตราเติบโตกว่า 10% มีรายได้ที่ดี มี EBITDA 400 ล้านยูโรต่อปี กำไรสุทธิ 50% ของ EBITDA ซึ่งมั่นใจว่าเราเข้าไปจะช่วยลดต้นทุนด้านการเงินได้ และดีลนี้คาดว่าจะสร้าง EBITDA margin ให้ GC เพิ่มไม่น้อยกว่า 2% และยังมีผลตอบแทน (IRR)สูง 13-15% โดยดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นปลายปีนี้ จะรับรู้รายได้เพิ่มในปีหน้า”