บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เผยผลประกอบการในปี 2561 รายได้เติบโตกว่า 16% อยู่ที่ 36,585 ล้านบาท จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าใหม่ ส่งผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในงบการเงินรวมปี 2561 ขยายตัว 6.7% เป็น 3,027 ล้านบาท และประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลัง ที่ 17 สตางค์ต่อหุ้น พร้อมเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามและโครงการพลังงานทดแทนอื่น หนุนกำลังการผลิตโตตามเป้าหมาย
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2561 ว่า บริษัทมีการเติบโตของรายได้กว่า 16.2% จากปีก่อนหน้าเป็น 36,585 ล้านบาท จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (เอสพีพี) ABPR3, ABPR4 และ ABPR5 จำนวนกำลังการผลิตติดตั้งรวม 399 เมกะวัตต์ และ COD ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ 7 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 30.8 เมกะวัตต์ ทำให้ปี 2561 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้น 430 เมกะวัตต์ หรือเติบโตถึง 26% จากปีก่อนหน้า
ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (Normalized net profit) ในงบการเงินรวมปี 2561 ขยายตัวเป็น 3,027 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 1,842 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 6.7 % จากปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากการ COD ของโรงไฟฟ้าใหม่ และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน จากการออกหุ้นกู้ระดับโครงการในเดือน พ.ค. และหุ้นกู้ระดับบริษัทในเดือน ต.ค. และหุ้นกู้กรีนบอนด์ในเดือน ธ.ค. 2561 ซึ่งหุ้นกู้กรีนบอนด์ถือเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองโดย Climate Bonds Initiative มีการจัดทำแนวทางปฏิบัติสากลสอดคล้องกับมาตรฐานเกณฑ์การออกพันธบัตรอาเซียนกรีนบอนด์ (ASEAN Green Bond Standards) และได้รับรางวัล Most Innovative Bond Deal จากสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เมื่อวันที่ 21 ก.พ ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนหลังของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 17 สตางค์ โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 14 มี.ค. 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พ.ค. 2562
สำหรับในปี 2562 บีกริมยังเดินหน้าธุรกิจตามแผน โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาอีก 17 โครงการรวมกำลังการผลิตติดตั้ง 1,050 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตโดยรวมเพิ่มเป็น 3,126 เมกะวัตต์ ณ ปี 2565 โดยเป็นโครงการที่มีกำหนดการ COD ในปีนี้ 4 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 697 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม DTE1&2 ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 420 เมกะวัตต์ และโครงการ Phu Yen TTP กำลังการผลิตติดตั้ง 257 เมกะวัตต์ โดยทั้งสองโครงการมีกำหนดการ COD ในเดือน มิ.ย. และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam Che กำลังการผลิตติดตั้ง 15 เมกะวัตต์ ซี่งคาดว่าจะ COD ได้ในครึ่งแรกของปี และโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 5 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดการ COD ในช่วงสิ้นปี นับเป็นปีที่บริษัทจะมีการเติบโตของกำลังการผลิตอย่างก้าวกระโดดกว่า 34%
นอกจากนี้บริษัทเพิ่งประกาศความสำเร็จในการซื้อโรงไฟฟ้า โกลว์ เอสพีพี 1 จาก GLOW ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจาก กกพ. ภายในไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าโครงการในระยะยาว เนื่องจากพื้นที่มาบตาพุดเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด มีความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำในระดับสูงมาก และโรงไฟฟ้าแห่งนี้อยู่ในเงื่อนไขซึ่งได้รับความเห็นชอบให้ต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (เอสพีพี) จากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 หากรวมโครงการนี้แล้ว กำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทจะเพิ่มเป็น 3,250 MW ในปี 2565
ส่วนโอกาสการลงทุนในต่างประเทศนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและศึกษาข้อมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ประเทศเกาหลี เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และลาว เพื่อบรรลุเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งที่ 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2565