โออาร์ เผยกลยุทธ์ 3 ธุรกิจหลัก น้ำมัน ค้าปลีกและต่างประเทศ เตรียมจัดทำแผนลงทุน 5 ปีเสนอบอร์ดสิ้นปี 2562 นี้ โดยธุรกิจน้ำมันเน้นเพิ่มสัดส่วนธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นจาก 30% พร้อมเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯต่อไป ขณะธุรกิจค้าปลีก เตรียมปรับโฉมร้านชานมไข่มุก Pearly Tea รุกตลาดกลุ่มวัยรุ่น และเป็นหนึ่งในธุรกิจนำร่องในตลาดประเทศกลุ่มอาเซียนที่ยังไม่เปิดให้ลงทุนตั้งปั๊ม PTT Station ส่วนการลงทุนต่างประเทศ เล็งขยายปั๊มเพิ่มเป็น 500 แห่งในปี 2566
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยภายหลังเปิดตัวธุรกิจบริษัท ว่า โออาร์ อยู่ระหว่างจัดทำแผนธุรกิจระยะ 5 ปี(ปี2563-2567) เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัท ในช่วงปลายปี 2562 นี้ เพื่อใช้ขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2563 โดยเบื้องต้น OR ได้วางกลยุทธ์และหลักการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ (Productivity) การเติบโตอย่างก้าวกระโดด (Inorganic growth) ซึ่งมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน(Non-oil) และธุรกิจต่างประเทศให้มากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 30% และรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจน้ำมัน ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 70% โดยการเติบโตในอนาคต จะเน้นการตั้งบริษัทย่อย หรือร่วมทุนกับพันธมิตรในบริษัทต่าง ๆ ทั้งพันธมิตรในประเทศและพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อนำจุดแข็งของแต่ละกลุ่มมาใช้ร่วมกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง
สำหรับแผนการนำ โออาร์ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อนำเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) นั้น ยืนยันว่า โออาร์ ยังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถระบุเงื่อนไขของระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจนได้ โดยปัจจุบัน อยู่ในกระบวนการจัดทำรายละเอียดแบบแสดงรายการ เพื่อยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเชื่อว่าจะสามารถสร้างความหวือหวาให้กับตลาดหุ้นจากขนาดของธุรกิจที่ค่อนข้างใหญ่ได้
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจโรงแรมราคาประหยัด(Budget Hotel)ในสถานีบริการน้ำมันPTT Station ยังอยู่ในแผนการดำเนินงานของธุรกิจ Non-oil แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นายวิศาล ชวลิตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดต่างประเทศ โออาร์ กล่าวว่า ด้านแผนการตลาดต่างประเทศของ โออาร์ มีแผนขยายปั๊ม PTT Station ในต่างประเทศเป็น 500 แห่งในปี 2566 จากปัจจุบันมีอยู่กว่า 250 แห่ง แบ่งเป็น สปป.ลาว 50 แห่ง,กัมพูชา 60 แห่ง,ฟิลิปปินส์ 165 แห่งและเมียนมาอยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 แห่ง อย่างไรก็ตามคาดว่าการขยายปั๊มเพิ่มในต่างประเทศจะใช้เงินไม่มากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่จะขยายในรูปแบบให้ตัวแทนจำหน่ายเป็นผู้ลงทุน หรือDealer Owned Dealer Operated(DODO) จากปัจจุบัน โออาร์ลงทุนสร้างปั๊มน้ำมันเอง หรือ Company Owned Company Operated (COCO) คิดเป็นสัดส่วน 30% แต่ในอนาคตจะปรับสัดส่วนเป็น COCO เหลือ 20% และ DODO เป็น 80%
นอกจากนี้ยังเตรียมพิจารณาตลาดในอาเซียนเพิ่ม เช่น เวียดนาม,อินโดนีเซีย,มาเลเซียและบรูไน ซึ่งตลาดดังกล่าวอาจต้องนำธุรกิจอื่นๆ ของ โออาร์ เข้าไปบุกเบิกตลาดก่อน เนื่องจากบางประเทศยังไม่เปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนสร้างปั๊มน้ำมัน ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่จะนำร่องในตลาดของประเทศดังกล่าวอันดับแรกคือ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น รองลงมาได้แก่ ธุรกิจเครื่องดื่มร้าน คาเฟ่ อเมซอน และธุรกิจเครื่องดื่มชานมไข่มุกยี่ห้อ Pearly Tea ของปตท. และหากประเทศในอาเซียนเปิดให้ลงทุนสร้างปั๊มน้ำมันได้ โออาร์ ก็มีความพร้อมเข้าไปดำเนินการ ส่วนตลาดนอกกลุ่มประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ โออาร์ จะใช้รูปแบบการขายแฟรนไซส์ที่ไม่ใช่น้ำมัน(Non-oil)ให้กับนักลงทุนที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ โออาร์ แต่หากมีช่องทางการเปิดปั๊ม PTT Station ก็จะดำเนินการต่อไป
นายเอนก บัวนาเมือง กรรมการผู้จัดการบริษัท ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด(PTT RM) กล่าวว่า ขณะนี้ PTT RM กำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงแบรนด์ (Rebranding) ร้าน Pearly Tea ใหม่เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ไม่บริโภคกาแฟ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นให้มากขึ้น โดยมีแนวทางจะเพิ่มสูตรเครื่องดื่มที่เน้นการดูแลสุขภาพมากขึ้น เช่นการใส่หญ้าหวานแทนน้ำตาล เป็นต้น รวมถึงจะนำระบบดิจิทัลมาเก็บข้อมูล เพื่อพัฒนาให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และจะให้บริการเชื่อมโยงกับบัตรสมาชิก Blue Card ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 4.8 ล้านราย
อย่างไรก็ตามร้าน Pearly Tea จะเน้นการ Rebranding ร้านที่อยู่ในปั๊มน้ำมัน PTT Stationเป็นหลัก เพื่อสร้างการจดจำตราสินค้าก่อน และจะขยายไปสู่ร้านค้านอกปั๊มต่อไป ปัจจุบัน Pearly Tea มีสาขาอยู่ 25 แห่ง โดยจุดแข็งของร้าน Pearly Tea คือการลงทุนไม่สูงนักโดย อยู่ที่ประมาณ 8 แสน ถึง 1.1 ล้านบาท และเป็นร้านขนาดเล็กกระทัดรัดประมาณ 30-60 ตารางเมตร ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่อาศัยพื้นที่ของร้านจิฟฟี่จำหน่ายชานมไข่มุกเท่านั้น
ทั้งนี้ยืนยันว่าร้าน Pearly Tea ไม่แย่งลูกค้ากับร้านคาเฟ่ อเมซอน เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายต่างกัน และเคยทดลองตั้งร้านใกล้กันแต่ไม่ได้ส่งผลให้ยอดลูกค้าคาเฟ่ อเมซอนลดลงแต่อย่างใด