โดย วัชรพงศ์ ทองรุ่ง บรรณาธิการบริหาร ศูนย์ข่าวพลังงาน Energy News Center (ENC)
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสได้ไปร่วมนั่งฟังการบรรยายของคุณรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นถึงกลยุทธ์และทิศทางในการปรับลดคาร์บอนของกลุ่ม ปตท. จึงอยากจะนำมาเล่าต่อให้ผู้อ่านคอลัมน์เขียนเล่าข่าวได้เห็นถึงทิศทางการดำเนินงานของ ปตท. ที่มีความสำคัญ เพราะหากกลุ่ม ปตท. ทำเรื่องปรับลดคาร์บอนได้สำเร็จตามเป้าหมาย ก็เชื่อว่าจะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนประเทศไทยในภาพรวม ให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนที่เราได้ประกาศไว้ในเวทีโลกได้

ทบทวนกันก่อนว่าที่ไทยไปประกาศเป้าหมายไว้ มี 2 เรื่องคือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ซึ่งก็คือปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศให้เท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดูดกลับคืนมา โดยดำเนินการผ่าน 3 กลไก คือ หนึ่ง “ลด” การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) สอง “ดูดกลับ” ก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศ เช่น การปลูกป่าเพื่อเพิ่มแหล่งสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามธรรมชาติ การใช้เทคโนโลยีในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และนำกลับมากักเก็บใต้พื้นดิน หรือใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ และ สาม “ชดเชย” การปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Offset) โดยเป้าหมายของประเทศเรื่องนี้ บอกว่าจะทำให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า
ส่วนอีกเรื่องคือ เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions คือภาวะสมดุลระหว่างการปล่อยกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ด้วยกิจกรรมที่ลดหรือดูดกลับเท่านั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต โดยเป้าหมายของไทยคือ ค.ศ. 2065 หรือช้ากว่าเป้าหมายแรก 15 ปี
ในขณะที่เป้าหมายในระดับองค์กร คือ กลุ่ม ปตท. ที่เป็นหนึ่งในองค์กรหลักที่จะช่วยให้เป้าหมายของประเทศทำได้จริงนั้น เดิมกำหนดเป้าหมายเรื่อง Carbon Neutrality เอาไว้ ภายในปี 2040 และ เป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี 2050 ซึ่งหวังจะทำให้สำเร็จก่อนเป้าหมายของประเทศ 10 ปี จะได้ช่วยดึงค่าเฉลี่ยรวมให้ประเทศบรรลุเป้าหมายได้ ในกรณีที่อาจจะมีผู้ประกอบการรายเล็กหลาย ๆ รายเตรียมความพร้อมไม่ทัน อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ปตท. ภายใต้การนำของ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำลังอยู่ระหว่างการดูในรายละเอียดเพื่อปรับทบทวนไทม์ไลน์ต่าง ๆ ในกิจกรรมการปรับลดคาร์บอน ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ ปตท. “แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” (Together for Sustainable Thailand, Sustainable World)
ที่น่าสนใจในกลยุทธ์และทิศทางการปรับลดคาร์บอนของกลุ่ม ปตท. ก็คือ การมอบหมายภารกิจการปรับลดคาร์บอน ทั้งกลุ่มให้คุณรัฐกร เป็นผู้ควบคุมดูแลในกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ครบทั้ง Value Chain โดยหากเปรียบกิจกรรมต่าง ๆ ในการปรับลดคาร์บอนเป็นเหมือนเครื่องดนตรีในวงออร์เคสตรา คุณรัฐกรบอกว่าตนเองมีบทบาทเหมือนเป็น orchestrator ผู้ควบคุมทิศทางของวงออร์เคสตรา ว่าควรจะเล่นเพลงไหน อย่างไร โดยมองถึงความยั่งยืนของกลุ่ม ปตท. เป็นตัวตั้ง
โดยความยั่งยืนในกิจกรรมการปรับลดคาร์บอน ของกลุ่ม ปตท. นั้น จะคำนึงถึงความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจเป็นลำดับแรก โดยกิจกรรมที่ดำเนินการต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการที่กลุ่ม ปตท. ยังโฟกัสในธุรกิจไฮโดรคาร์บอน คือ ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน เพื่อสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจและสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศนั้น จึงต้องมีกิจกรรมที่ช่วยปรับลดหรือดูดซับ และกักเก็บคาร์บอนที่ปล่อยออกมาเอาไว้ด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุลและอยู่ร่วมกับสังคมโลกได้อย่างยั่งยืน เป็นไปตามเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions

คุณรัฐกร ให้ข้อมูลในระหว่างการบรรยายว่า ปัจจุบันกลุ่ม ปตท. มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ประมาณ 50 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้น หากจะบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2040 ก็หมายความว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้าก็จะต้องมีกิจกรรมที่จะมาช่วยปรับลด ดูดกลับ หรือกักเก็บคาร์บอน โดยในส่วนของกิจกรรมการดูดซับคาร์บอนที่มีความคุ้มทุนที่สุด คือการปลูกป่า นั้น กลุ่ม ปตท. มีเป้าหมายดำเนินการอย่างเต็มที่จำนวน 2 ล้านไร่ ซึ่งปัจจุบันดำเนินการผ่านจุด 1 ล้านไร่ไปแล้ว
ส่วนการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมัน รวมถึงธุรกิจผลิตไฟฟ้าก็ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตที่จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลง โดยที่ผ่านมา ธุรกิจที่เกี่ยวกับถ่านหินในต่างประเทศที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ นั้น ปตท. ได้ขายกิจการออกไปทั้งหมดแล้ว ในส่วนของบริษัท GPSC ที่ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งยังมีโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ในมือ ก็พยายามที่จะไปลงทุนเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสร้างความสมดุล ในขณะที่ในอนาคตก็มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactors – SMR ที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ อีกด้วย
สำหรับพลังงานทางเลือกที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวที่จะเป็นพลังงานในอนาคตสำหรับประเทศไทย ที่มีต้นทุนราคาที่แข่งขันได้กับก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ก็คือ ไฮโดรเจน ซึ่งในช่วงเริ่มต้นนั้น กลุ่ม ปตท. มองถึงการนำเข้าไฮโดรเจนจากประเทศในตะวันออกกลาง หรือ อินเดีย ที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าที่ไทยจะลงทุนเอง เพื่อนำเข้ามาใช้ผสมกับก๊าซธรรมชาติ ป้อนเป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง

ในส่วนของการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ นั้น กลุ่ม ปตท. มองทั้งเรื่องกักเก็บหรือ Carbon Capture Storage (CCS) และการนำคาร์บอนไดออกไซด์มากักเก็บและใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจด้วย คือ Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) ซึ่งทาง ปตท.สผ. เป็นกำลังหลักในการดำเนินการ CCS โดยได้ศึกษาหลุมผลิตปิโตรเลียมเก่าของแหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทยซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ว่าสามารถที่จะขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์ไปกักเก็บไว้ได้จำนวนมาก เป็นโครงการทดลองนำร่อง
โดยการทำ CCS นั้น จะต้องมีกฏหมายจากภาครัฐเพื่ออนุญาตให้ดำเนินการได้ รวมทั้งจะมีการเปรียบเทียบระหว่างต้นทุนต่อหน่วยในการดำเนินการ กับการถูกจัดเก็บภาษีของสินค้าที่ปล่อยคาร์บอน หรือที่เรียกว่า ภาษีคาร์บอน ที่จะต้องให้คุ้มกับการดำเนินการ
เท่าที่ได้ฟังจากคุณรัฐกร กลุ่ม ปตท. น่าจะเริ่มกระบวนการทำ CCS ได้ประมาณ ปี 2035 ก่อนเรื่องไฮโดรเจน ที่ไม่สามารถดำเนินการได้เร็วกว่านี้เพราะยังเป็นเรื่องใหม่ ยังต้องการการพัฒนาเทคโนโลยี อีกทั้งต้นทุนในการดำเนินการยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การดำเนินการในเรื่องของการปรับลดคาร์บอนไดออกไซด์ในภาพรวมนั้น ยังต้องการความชัดเจนในเรื่องกฏหมายในแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาลที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนเป็นหลักในการดำเนินการ
เขียนเล่ามาตั้งแต่ต้นจนจบคอลัมน์ จะเห็นได้ว่าเรื่องของการปรับลดคาร์บอนนั้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่าย ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน ควรจะร่วมมือและมองเห็นทิศทางที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เพราะบางเรื่องรีบด่วนทำเร็วเกินไปในจังหวะที่ต้นทุนเทคโนโลยียังแพง ประชาชนก็อาจจะต้องเป็นผู้รับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้น แต่ถ้าไม่เตรียมความพร้อมเลย และทำช้าเกินไปจนสูญเสียความสามารถในการแข่งขันดึงดูดการลงทุนและถูกกีดกันทางการค้า ก็ทำให้ประเทศเสียโอกาสเช่นเดียวกัน
มองเรื่องกิจกรรมปรับลดคาร์บอนในภาพรวมของประเทศเพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อนให้เหมือนการฟังเพลงจากวงออร์เคสตรา ผู้ชมย่อมคาดหวังว่าในฝั่งขององค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เปรียบเหมือนวงดนตรีแต่ละวงที่ต้องเตรียมพร้อมทั้งเครื่องดนตรี นักดนตรีที่มีฝีมือและประสบการณ์ในการเล่น มีผู้ควบคุมวงที่คอยกำกับดูแลให้แต่ละชิ้นเล่นอย่างสอดประสานรับกันในเพลงตามหลักสากล ซึ่งความท้าทายที่สำคัญ คือต้องเล่นให้ได้ในเวลาที่กำหนด ฝีมือต้องได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และไม่สร้างภาระให้ผู้ฟังต้องจ่ายเงินอุดหนุนที่มากเกินควร