กองทุนน้ำมันฯ ลุ้นพลิกเงินบัญชีเป็นบวกช่วง ต.ค. 2568 หลังติดลบกว่า 3 ปี ปัจจุบันเหลือ -62,396 ล้านบาท

59
- Advertisment-

เงินกองทุนน้ำมันฯ ส่อแววดีต่อเนื่อง เงินไหลเข้าเดือนละ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ฐานะกองทุนฯ ติดลบเหลือ -62,396 ล้านบาท คาด ต.ค. 2568 เงินกองทุนฯ มีโอกาสกลับมาเป็นบวกได้ครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี  หลังจากติดลบมาตั้งแต่ปลายปี 2564 เหตุผู้ใช้น้ำมันทุกรายถูกเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ต่อเนื่องส่งผลบัญชีน้ำมันเหลือติดลบ -16,276 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ขณะที่บัญชี LPG ยังคงติดลบรวม -46,120 ล้านบาท   

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรายสัปดาห์ว่า สถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทยอยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยติดลบระดับ 1.1 แสนล้านบาทช่วงกลางปี 2567 ปัจจุบันล่าสุด ณ วันที่ 16 มี.ค. 2568 สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้รายงานว่าเงินกองทุนน้ำมันฯ เหลือติดลบรวม -62,396 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีย่อยคือ บัญชีน้ำมันติดลบรวม -16,276 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -46,120 ล้านบาท  ซึ่งนับเป็นการติดลบน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา  

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเงินกองทุนฯ ติดลบน้อยลง เกิดจากบัญชีน้ำมันที่หยุดชดเชยราคาดีเซลมาตั้งแต่กลางปี 2567 และเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดส่งเข้ากองทุนฯ แทนการชดเชยราคา ส่งผลให้บัญชีน้ำมันที่เคยติดลบสูงสุดถึง -64,066 ล้านบาท และส่งผลให้ภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ช่วงนั้น ติดลบสูงสุดถึง 111,663 ล้านบาท ในเดือน ก.ค. 2567 แต่ปัจจุบันถือว่าบัญชีน้ำมันติดลบน้อยที่สุดในรอบ 3 ปี (นับตั้งแต่ปี 2565) เหลือเพียง -16,276 ล้านบาท ขณะที่บัญชี LPG ยังคงทรงตัวใกล้เคียงระดับเดิมที่ -46,120 ล้านบาท (จากที่เคยติดลบสูงสุดถึง 47,679 ล้านบาท เมื่อเดือน มิ.ย. 2567) จากการชดเชยราคา LPG

- Advertisment -

สถานการณ์กองทุนน้ำมันฯ เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจุบันในเดือน มี.ค. 2568 มีเงินไหลเข้ากองทุนฯ รวม 351 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดส่งเข้ากองทุนฯ ได้ประมาณ 331 ล้านบาท และมาจากโรงแยกก๊าซฯ ส่งเข้ากองทุนฯ 20 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุนฯ มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 10,530 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับเงินกองทุนฯ ที่ติดลบรวมอยู่ -62,396 ล้านบาท มีโอกาสที่กองทุนฯ จะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 นี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน

โดยราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 18 มี.ค. 2568 เวลาประมาณ 14.30 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 71.39 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาลดลง  0.05 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.42 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 71.51 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.44 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

สำหรับในส่วนของผู้ใช้น้ำมันนั้น กองทุนน้ำมันฯ ได้เรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลและดีเซล B20 จ่ายเข้ากองทุนฯ จำนวน 2.67 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม จากเดิมเรียกเก็บ 4.17 บาทต่อลิตร ขณะที่น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ จ่ายเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร

นอกจากนี้ผู้ค้าน้ำมันยังเรียกเก็บค่าการตลาดจากผู้ใช้น้ำมันด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ล่าสุด ณ วันที่ 18 มี.ค. 2568 เป็นดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.31 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.38 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.91 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 5.87 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 2.17 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-18 มี.ค. 2568 อยู่ที่ 2.56 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

อย่างไรก็ตามหากค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับสูงเกินไป ทาง กบน. จะใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ปรับเปลี่ยนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไป

Advertisment