กองทุนน้ำมันฯ สัญญาณดี ติดลบน้อยลง เหลือ -66,419 ล้านบาท ลุ้น พ.ย. 2568 พลิกเป็นบวก

44
- Advertisment-

กองทุนน้ำมันฯ สัญญาณดี แค่ 1 สัปดาห์ ตัดยอดเงินติดลบได้ 2,500 ล้านบาท เหลือ -66,419 ล้านบาท จากปี 2567 ที่เคยติดลบระดับแสนล้านบาท ลุ้น พ.ย. 2568 กองทุนฯ พลิกกลับเป็นบวกได้หากราคาน้ำมันโลกทรงตัวระดับปัจจุบันประมาณ 77 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ย้ำแม้กองทุนฯ เป็นบวกได้ แต่ผู้ใช้น้ำมันยังต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ ต่อ เหตุต้องเตรียมไว้ใช้หนี้แบงค์ที่เหลืออีกกว่า 1 แสนล้านบาท    

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันรายสัปดาห์ว่า ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถลดภาวะการเงินติดลบลงได้ถึง 2,500 ล้านบาท จากเดิมติดลบรวม -68,919 ล้านบาท ล่าสุด (2 มี.ค. 2568) เหลือติดลบรวม  -66,419 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันทยอยติดลบน้อยลงอย่างต่อเนื่อง จากการหยุดชดเชยราคาน้ำมันดีเซล ทำให้เหลือการติดลบรวม -20,155 ล้านบาท ส่วนบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ยังคงติดลบใกล้เคียงระดับเดิมคือ -46,264 ล้านบาท  โดยเมื่อเทียบกับปี 2567 กองทุนฯ เคยติดลบสูงสุดถึง 111,663 ล้านบาท

โดยนอกจากการหยุดชดเชยราคาดีเซลแล้ว คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2568 ยังได้ประกาศอัตราเงินเรียกเก็บจากผู้ใช้น้ำมันทุกรายส่งเข้ากองทุนฯ ตามชนิดน้ำมันดังนี้

- Advertisment -

ผู้ใช้น้ำมันดีเซลทุกชนิดส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.79 บาทต่อลิตร และผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียมต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 3.29 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร

โดยมาตรการเรียกเก็บเงินดังกล่าวส่งผลให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าประมาณ 268 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 8,040 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งมาจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ 218.37 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 6,551 ล้านบาทต่อเดือน) และมาจากผู้ใช้และโรงแยกก๊าซฯ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ 49.84 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 1,495 ล้านบาทต่อเดือน)

อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับฐานะทางการเงินที่ติดลบ 66,419 ล้านบาท กับรายรับที่ประมาณ 8,040 ล้านบาทต่อเดือนแล้ว หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2568 ทาง กบน. คาดว่ามีโอกาสที่กองทุนฯ จะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน พ.ย. 2568 นี้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่มักจะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วอย่างไม่คาดคิด

ทั้งนี้แม้กองทุนฯ จะมีโอกาสกลับมาเป็นบวกได้ แต่กองทุนฯ ยังคงต้องเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันต่อไป เนื่องจากยังมีภาระหนี้ที่เคยกู้เงินจากสถาบันการเงินไว้ 105,333 ล้านบาท เพื่อนำมาชดเชยราคาดีเซล เมื่อปี 2565-2566 โดยกองทุนฯ เริ่มทยอยจ่ายคืนเงินต้นเมื่อเดือน พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังเหลือหนี้อยู่ประมาณ 104,083 ล้านบาท และดอกเบี้ย 250 ล้านบาทที่ต้องจ่ายทุกเดือน

ส่วนสถานการณ์ค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 4 มี.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.35 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.16 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.24 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.88 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 6.49 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.95 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-4 มี.ค. 2568 อยู่ที่ 2.38 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

ขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 4 มี.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 77.92 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาเพิ่มขึ้น  0.05 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 68.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 71.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

Advertisment