แนวโน้มปิโตรเคมี ปี 2568 เสี่ยงภาวะอุปทานล้นตลาด IRPC แสวงหาโอกาสเติบโตด้วยนวัตกรรมวัสดุและพลังงานยั่งยืน

54
- Advertisment-

IRPC พร้อมรับมือความท้าทายจากภาวะอุปทานล้นตลาดในปี 2568 มุ่งสร้างความเข้มแข็งจากธุรกิจหลักทั้ง ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ รุก ขยายธุรกิจที่เชี่ยวชาญและแสวงหาธุรกิจใหม่ พร้อมคว้าโอกาสเติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ด้วยนวัตกรรมวัสดุและพลังงานที่ยั่งยืน

นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) เปิดเผยว่าปี 2567 เศรษฐกิจโลกมีความท้าทายและผันผวน IRPC จึงเร่งปรับตัวและสร้างการเติบโตด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงาน ลดต้นทุน บริหารจัดการลงทุนทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมสร้างความปลอดภัยประสิทธิภาพการทำงานและพัฒนาบุคลากร เพื่อพร้อมคว้าโอกาสจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ด้วยนวัตกรรมวัสดุพลังงานตอบโจทย์เมกะเทรนด์ และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

สำหรับแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมี ปี 2568 อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาดจากกำลังผลิตใหม่ในจีน ขณะที่ความต้องการเติบโตร้อยละ 1 – 3 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายต้องบริหารกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและเทคโนโลยีที่เติบโตดี ส่วนสินค้าคงทน เช่น บ้านและรถยนต์ เติบโตต่ำจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว ปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเศรษฐกิจจีน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทำให้ราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบผันผวน และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปเตรียมบังคับใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและห่วงโซ่การผลิต ผู้ประกอบการจึงต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับกฎเกณฑ์ใหม่

- Advertisment -

นายเทอดเกียรติ กล่าวว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา IRPC สามารถสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มผ่านโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 โดยผลิตและจำหน่ายน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 และน้ำมันอากาศยาน Jet A-1 ตามมาตรฐานสากล JIG (Joint Inspection Group) เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก บริษัทฯ ได้ดำเนินการรับมือกับวัฏจักรปิโตรเคมีที่ชะลอตัว โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดพิเศษ (Specialty Products) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 เพื่อตอบสนองตลาดที่มีศักยภาพสูง อาทิ บรรจุภัณฑ์ การแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศรวมทั้ง ได้ดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิต Floating Solar เฟส 2 อีก 8.5 เมกะวัตต์ และพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ บนที่ดินของบริษัทฯ เพื่อสร้างรายได้และเสริมศักยภาพด้านพลังงานสะอาดในอนาคต

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ความผันผวนของราคาพลังงาน ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงทั้งจากอุปทานล้นตลาดจากกำลังการผลิตใหม่ ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคปรับตัวลดลง กระทบต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2567 เปรียบเทียบกับปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิสำหรับปี 2567 จำนวน 281,711 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เทียบกับปีก่อน โดยมีสาเหตุจากปริมาณขายลดลงร้อยละ 4 และราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 2 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2567 ปรับตัวลดลงจากปีก่อน โดยมีปัจจัยกดดันจากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรปที่ชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในหลายประเทศ ส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 2,496 ล้านบาท หรือ 0.98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่มีการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ (กลับรายการ NRV) 953 ล้านบาท หรือ 0.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง (Realized Oil Hedging) 879 ล้านบาท หรือ 0.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ (Net Inventory Loss) รวม 664 ล้านบาท หรือ 0.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 17,691 ล้านบาท หรือ 6.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 3 จากปีก่อน และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 4,476 ล้านบาท ลดลง 1,278 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 22

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังบันทึกค่าเสื่อมราคา 9,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน เป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2567 ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 2,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามตลาด อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุนจำนวน 989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จำกัด (WHA IER) ที่เริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายที่ดินตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 5,193 ล้านบาท มากกว่าปี 2566 ที่ร้อยละ 78

สำหรับผลดำเนินงานไตรมาส 4/2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 63,037 ล้านบาท ลดลง 6,927 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 3,200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่มีผลขาดทุน EBITDA 4,843 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 2,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ประกอบกับบันทึกขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์จำนวน 406 ล้านบาท จากค่าเงินบาทอ่อนค่า อีกทั้งบันทึกขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจาก การบริหารความเสี่ยงน้ำมัน 694 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าและตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 652 ล้านบาท โดยหลักมาจากบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม จากที่ปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 1,125 ล้านบาท น้อยกว่าไตรมาส 3/2567 ที่ร้อยละ 77

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามแนวทางที่ยั่งยืน โดยได้รับรางวัลและการรับรองทั้งในระดับประเทศและสากล เช่นได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refining and Marketing และบริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็นองค์กรเอกชนรายแรกและรายเดียวในประเทศที่ได้รับรางวัล “ดีเด่นระดับ GOLD” องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประเภทองค์กรธุรกิจ ประเภทธุรกิจขนาดใหญ่ จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ระดับดีเลิศ (Excellent CG Scoring Company) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD)

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ในอัตรา 0.01 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินประมาณ 204 ล้านบาท โดยจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 2 เมษายน 2568 ต่อไป

Advertisment