นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้หากรัฐนำระบบ Net Metering มาใช้ส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อป ในสัดส่วนที่มากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมของประชาชนที่ต้องจ่ายแพงขึ้น รวมทั้งต้นทุนการจัดหาไฟฟ้าของประเทศที่สูงขึ้นด้วย โดยมองนโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ เป็นเรื่องที่ดี แต่เสนอแนะให้ใช้ระบบ Net Billing ที่มีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าที่คนส่วนใหญ่ต้องแบกรับน้อยกว่า
จากนโยบายการหาเสียงของบรรดาพรรคการเมืองต่างๆที่จะส่งเสริมให้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน หรือ โซลาร์รูฟท็อป เพื่อช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและทำให้ประชาชนที่ลงทุนติดตั้งมีรายได้จากการผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์เพื่อขายเข้าระบบ โดยที่มีเสียงสนับสนุนให้นำระบบ Net Metering มาใช้เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนติดตั้งที่มากขึ้นนั้น
ในมุมมองของ รศ.ดร.สุรชัย ชัยทัศนีย์ หัวหน้าสาขาวิชาไฟฟ้ากำลัง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งให้สัมภาษณ์กับทางศูนย์ข่าวพลังงาน ( Energy News Center-ENC ) เห็นว่า การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ( Solar PV)โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อปในระดับครัวเรือน นั้นเป็นเรื่องดี แต่มีข้อเท็จจริงที่ภาครัฐซึ่งกำหนดนโยบายและประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องรู้ ก็คือหากมีการเปิดเสรี ให้มีการลงทุนติดตั้ง
ในจำนวนที่มากเกินไป หรือเป็นการเปิดเสรีโซลาร์ จะทำให้เกิดเป็นภาระต้นทุนใน 2 ส่วนสำคัญ คือ 1.ภาระต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าที่จะไปเฉลี่ยให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นจากปกติ และ 2.ภาระต่อต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า ( Ancillary Services)ในส่วนของหน่วยงานการไฟฟ้า
ทั้งนี้ในการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนในปริมาณหนึ่งๆ นั้น หน่วยงานการไฟฟ้าที่ต้องรับผิดชอบด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้าก็จะต้องมีการเพิ่ม Ancillary Services ขนานกันไปด้วยเสมอ
–
รศ.ดร.สุรชัย หยิบยกข้อมูลจากการศึกษาวิเคราะห์โครงการนำร่องการส่งเสริมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเสรี ที่ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการให้กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พพ.ตั้งแต่ปี 2560 ในการนำระบบ Net Metering ที่เป็นการหักลบกลบหน่วยไฟฟ้าภายในหรือข้ามรอบบิล เปรียบเทียบกับ ระบบ Net Billing ที่เป็นการหักลบมูลค่าของไฟฟ้าภายในหรือข้ามรอบบิล ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันกับโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ที่รัฐเปิดรับสมัครอยู่ในปัจจุบัน ว่า แม้ว่าระบบ Net Metering จะทำให้เกิดแรงจูงใจให้มีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากกว่า เนื่องจาก มูลค่าของไฟฟ้าส่วนที่ไหลย้อนกลับสู่ระบบสายส่งของการไฟฟ้าจะเท่ากับค่าไฟฟ้าขายปลีก ในขณะที่ ระบบ Net Billing มูลค่าของไฟฟ้าส่วนที่ไหลย้อนเข้าระบบสายส่งของการไฟฟ้า จะเป็นไปตามที่รัฐกำหนด คือปัจจุบันอยู่ที่ 2.20 บาทต่อหน่วยซึ่งต่ำกว่าต้นทุนขายส่ง
ดังนั้นหากรัฐเลือกส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปด้วยระบบ Net Metering จะทำให้มีผู้สนใจลงทุนจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีฐานะการเงินที่ดี เพราะนอกจากจะลดภาระค่าไฟฟ้าของตัวเองลงได้มากแล้ว ยังมีรายได้จากการขายไฟฟ้าส่วนเกินในอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นเทียบเท่ากับอัตราขายปลีก แต่จะเป็นการผลักภาระไปให้กับคนอีกกลุ่มที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ลงทุนติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป เนื่องจากการไฟฟ้าต้องรับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบในราคาแพงกว่าต้นทุนเฉลี่ยที่ผลิตได้
นอกจากนี้ จากข้อมูลการศึกษาต้นทุนในส่วนค่า Ancillary Services ที่การไฟฟ้าจะต้องจัดหาเพื่อเสริมความมั่นคงให้กับไฟฟ้าที่มาจากแผงโซลาร์เซลล์ หรือ Solar PV ที่ผลิตไฟฟ้าได้เฉพาะช่วงที่มีแสงแดด จะมีค่าประมาณ 0.2-0.4 บาท ต่อหน่วย ดังนั้นยิ่งส่งเสริมให้มี Solar PV มากเท่าไหร่ ระบบไฟฟ้าหลักก็จะมีภาระในส่วน Ancillary Servicesเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงมีข้อสังเกตว่า จะเป็นการนำเงินตราของประเทศมาใช้กับกิจการไฟฟ้ามากเกินไปหรือไม่
ในมุมมองของ รศ.ดร.สุรชัย เห็นว่าแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจาก Solar PV ในประเทศไทยจึงควรเริ่มจาก การให้ผลิตเพื่อใช้เองก่อน หากมีส่วนที่เหลือจึงขายคืนให้ระบบไฟฟ้า ในลักษณะเดียวกับ โครงการโซลาร์ภาคประชาชนในปัจจุบัน ที่มีอัตราการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่ 2.20 บาทต่อหน่วยซึ่งรูปแบบดังกล่าวนี้จะคล้ายกับรูปแบบ Net Billing โดยอาจจะต้องมีการทบทวนอัตรารับซื้อเป็นระยะๆ
ส่วนระบบ Net Metering ที่เป็นการผลิตแล้วหักลบกลบหน่วย หากจะมีการส่งเสริมควรมีการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมเน้นเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็นเดือดร้อนเรื่องภาระค่าไฟฟ้าจริงๆ ไม่เช่นนั้น ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปจะกลายเป็นผู้ที่ต้องรับภาระค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นแทน
โดยต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปและต้องซื้อไฟฟ้าจากระบบที่จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ทาง รศ.ดร.สุรชัย คำนวณให้เห็นตามตัวอย่างด้านล่างนี้
****ตัวอย่างการคำนวณผลกระทบค่าไฟฟ้า: หากมีการส่งเสริม Rooftop Solar PV 1,000 MW จะทำให้ตัวหารหน่วยขายไฟฟ้าลดลงจากประมาณ 200,000 ล้านหน่วย/ปี เป็น 198,500 ล้านหน่วย/ปี หรือลดลงประมาณ 0.75% หรือส่งผลต่อค่าไฟฟ้าประมาณ 3.5 สตางค์/หน่วย และหากมีการส่งเสริม Rooftop Solar PV 5,000 MW จะทำให้ตัวหารหน่วยขายไฟฟ้าลดลงจากประมาณ 200,000 ล้านหน่วย/ปี เป็น 192,500 ล้านหน่วย/ปี หรือลดลงประมาณ 3.75% หรือส่งผลต่ออัตราค่าไฟฟ้าทั่วไปประมาณ 17.6 สตางค์/หน่วย
–