5 สมาคมพลังงานหมุนเวียนร่อนหนังสือถึงนายกฯ เรียกร้องยกเลิกแนวคิดลดค่าไฟฟ้า 17 สตางค์จากผู้ผลิตในระบบ Adder และ FiT

270
- Advertisment-

เอกชนผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5 สมาคม ยื่นหนังสือถึงนายกฯ พร้อมกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เรียกร้องให้ทบทวนและยกเลิกแนวคิดลดค่าไฟฟ้า 17 สตางค์จากผู้ผลิตไฟฟ้าตามสัญญา Adder และ FiT ชี้เหตุส่งผลเสียมากกว่า ทั้งขัดกับกฎหมาย ที่ไม่ได้ให้อำนาจรัฐยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาฝ่ายเดียวได้ และยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจนไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ อาจต้องปิดกิจการ ยืนยันผู้ผลิตไฟฟ้า Adder และ FiT ไม่ใช่ตัวแปรหลักที่ทำให้ค่าไฟฟ้าสูง เพราะการผลิตไฟฟ้ามีไม่ถึง 10% แนะรัฐหันไปใช้วิธีลดค่าความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้า (AP) และพิจารณาแนวทางลดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเป็นหลักดีกว่า

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 ตัวแทนภาคเอกชน 5 แห่ง ประกอบด้วย สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน, สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100), สมาคมพลังงานลม (ประเทศไทย), สมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย และสมาคมการค้าก๊าซชีวภาพไทย ได้ส่งหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พร้อมส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, ปลัดกระทรวงพลังงาน, คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เพื่อแสดงความเห็นต่อข้อเสนอลดค่าไฟฟ้า 17 สตางค์จากพลังงานหมุนเวียนแบบ Adder และ Feed in Tariff (FiT)

โดยสาระสำคัญของหนังสือดังกล่าวระบุว่า จากกรณีที่เลขาธิการ สำนักงาน กกพ. และ กกพ. บางท่าน ได้เสนอแนวคิดมาตรการลดค่าไฟฟ้าจาก 4.15 บาทต่อหน่วย ให้ลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย โดยใช้วิธีตัดค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐ (Policy Expense) ซึ่งประกอบด้วยการจ่ายค่าไฟฟ้าในรูปแบบ “การให้เงินส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือ Adder” และ การให้เงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง ( Feed in Tariff หรือ FiT) ซึ่งผู้ผลิตไฟฟ้าจะได้รับตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยค่าใช้จ่ายนี้ที่เป็นส่วนประกอบของต้นทุนค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าเพียง 17 สตางค์ต่อหน่วย

- Advertisment -

ดังนั้นตัวแทนภาคเอกชนทั้ง 5 แห่ง จึงต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อขอให้ภาคนโยบายทบทวนและยกเลิกการดำเนินการตามแนวคิดดังกล่าว เนื่องจากการยกเลิกหรือแก้ไขสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ FiT ทั้งหมด เพื่อลดค่าไฟฟ้า 17 สตางค์ต่อหน่วยทันที จะมีผลกระทบดังต่อไปนี้

1. กระทบต่อผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน ผู้ผลิตไฟฟ้าหลายรายอาจจะต้องยุติการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาที่ได้รับจากภาครัฐแล้ว เนื่องจากไม่มีความสามารถในการชำระหนี้คืนแก่สถาบันการเงิน เพราะการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจะได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงินที่คำนวณจากต้นทุนของโครงการในขณะนั้นและไม่ได้ลดลงตามต้นทุนของเทคโนโลยีในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการกู้เงินในอดีต ดังนั้นเงินกู้จึงต้องจ่ายเท่าเดิม ซึ่งการกล่าวว่าผู้ประกอบการผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว จึงไม่ถูกต้อง นอกจากนี้การนำราคาอุปกรณ์ในปัจจุบันมาเป็นเหตุให้ราคารับซื้อลดลง ก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง รวมทั้งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนของไทยไม่สามารถเติบโตต่อได้ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่สามารถประมาณการต้นทุนและรายรับของโครงการได้ ทำให้สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศไม่สนับสนุนเงินทุน ผู้ประกอบการจึงต้องไปลงทุนในธุรกิจอื่นแทน

2.สถาบันการเงินไม่มั่นใจที่จะให้สินเชื่อ เนื่องจากความเสี่ยงด้านโยบายที่เพิ่มขึ้น ทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของไทยลดลงจากการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำไว้กับการไฟฟ้า รวมทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในไทย โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงานสะอาดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐ

3.ผลกระทบด้านกฎหมาย ได้แก่ 1). สัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่มีข้อสัญญาใดที่ให้อำนาจรัฐแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงราคารับซื้อไฟฟ้าได้ฝ่ายเดียว การใช้อำนาจฝ่ายเดียวจึงอาจเป็นการกระทำที่ปราศจากฐานทางกฎหมายรองรับ 2).ขัดต่อวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เนื่องจากการแก้ไขราคาหรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ได้ลงนามไปแล้วโดยไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ ก่อให้เกิดภาระทางการเงินและความเสียหายในการชำระเงินกู้ ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงหรือคาดหมายไว้ในวันลงนามสัญญา ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้รับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า

3) ขัดแย้งต่ออำนาจทางกฎหมาย มาตรา 7(7) และ (8) ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 กรณีภาครัฐเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสัญญา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจนไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ย่อมขัดต่ออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว ที่จะส่งเสริมการประกอบกิจการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อผู้รับใบอนุญาตและผู้ใช้พลังงาน

4) กกพ. มีหน้าที่และอำนาจตามมาตรา 65 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 โดยต้องกำกับดูแลค่าบริการที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุน ดังนั้นการยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ จะส่งผลให้ กกพ. ไม่อาจใช้อำนาจกำกับดูแลการประกอบกิจการไฟฟ้าได้ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว

อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เห็นด้วยกับภาครัฐในการหาแนวทางปรับปรุงค่าไฟฟ้าไม่ให้เป็นภาระกับประชาชนมากเกินไป ตราบเท่าที่เป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งการดำเนินการควรเป็นธรรมและไม่สร้างภาระให้กับประเทศในอนาคต ทั้งนี้ราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่ม Adder และ FiT  ไม่ใช่ตัวแปรหลักที่ทำให้ค่าไฟฟ้าเป็นภาระกับผู้ใช้ไฟฟ้า เนื่องจากปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากลุ่มนี้มีไม่ถึง 10% ของการรับซื้อไฟฟ้าทั้งหมด

ฉะนั้นการปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้า ควรมุ่งเน้นเรื่องประสิทธิภาพและแนวทางอื่นที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าที่ลดลงมากกว่านี้ เช่น การพิจารณาแนวทางลดค่าความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้า (AP) ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าของประเทศและพิจารณาแนวทางลดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนประมาณ 60% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เป็นต้น

Advertisment