ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเลือกพื้นที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี ชมความสำเร็จโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดใหญ่ที่สุดในโลก ของ กฟผ. พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality
วานนี้ (26 มกราคม 2567) ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พร้อมด้วยภริยา และคณะ ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกในรอบ 22 ปี ได้เยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร (Hydro-floating Solar Hybrid) จ.อุบลราชธานี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า เตรียมขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และพลังงานระหว่างประเทศ โดยมีร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.จิราพร ศิริคำ รองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง รักษาการผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายรอส คอนลอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเมนส์ จำกัด และนายไพทูร ไพศาลสุขวิทยา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับ
ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้รับฟังการบรรยายภารกิจของ กฟผ. และข้อมูลโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร ขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ โดยใช้เทคโนโลยีด้านระบบควบคุมของบริษัท ซีเมนส์ จำกัด จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นโครงการนำร่องแห่งแรกของ กฟผ. ที่นำแสงอาทิตย์และน้ำซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียนมาผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid) เพื่อลดข้อจำกัดในการผลิตไฟฟ้าที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ โดย กฟผ. ได้พัฒนาระบบควบคุมและบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) เพื่อบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ สามารถผลิตไฟฟ้าได้นานขึ้น เสริมความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงประมาณ 47,000 ตัน/ปี หรือเทียบเท่ากับการปลูกป่า 37,600 ไร่ โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร เป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดของ กฟผ. จากทั้งหมด 16 โครงการ ใน 9 เขื่อนทั่วประเทศ มีกำลังการผลิตรวม 2,725 เมกะวัตต์ ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างยั่งยืน ปัจจุบันโรงไฟฟ้าฯ แห่งนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของ จ.อุบลราชธานี มีทางเดินชมธรรมชาติที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพที่สวยงาม เป็นแหล่งเรียนรู้และศึกษาดูงานด้านพลังงานหมุนเวียนแห่งใหม่ ที่สร้างอาชีพ เสริมรายได้ให้กับชุมชน และกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดในภาพรวม