30 ปีแห่งความสำเร็จ EGCO Group เดินหน้าขยายพอร์ตลงทุนต่อเนื่อง มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ปี 2593

570
- Advertisment-

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ “เอ็กโก กรุ๊ป” ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) รายแรกของประเทศไทยและผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานครบวงจรในปัจจุบัน ได้สร้างความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าให้กับประเทศไทยมากว่า 30 ปี ซึ่งผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ รวม 6,377 เมกะวัตต์ โดยเป็นพลังงานสะอาดถึง 1,424 เมกะวัตต์ จากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง และยังคงขยายการลงทุนทั้งด้านธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง จนปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าและโครงการต่าง ๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา

โดยตลอดปี 2565 มีหลายโครงการสำคัญเกิดขึ้น ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของเอ็กโก กรุ๊ป ในการเดินหน้าเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ได้แก่ การเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 10% ในโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” และ “เทพพนา วินด์ฟาร์ม” จ.ชัยภูมิ ซึ่งส่งผลให้เอ็กโก กรุ๊ป กลายเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง

สำหรับโรงไฟฟ้า “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” นั้น ตั้งอยู่ใน อ.ซับใหญ่ จ.ชัยภูมิ มีกำลังผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer – SPP) ประเภทสัญญา Non-firm ในขณะที่โรงไฟฟ้า “เทพพนา วินด์ฟาร์ม” ตั้งอยู่ใน อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ มีกำลังผลิตติดตั้ง 7.5 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer – VSPP) เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อปี 2559 และ ปี 2556 ตามลำดับ

- Advertisment -

พร้อมกันนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ได้ประกาศความสำเร็จเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” ที่ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 514.30 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำกะดิ่ง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำแบบมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Reservoir) ประกอบด้วยกังหันผลิตไฟฟ้าจำนวน 3 หน่วย มีกำลังผลิตติดตั้งรวม 650 เมกะวัตต์ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จำนวน 514.30 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 27 ปี และกับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) จำนวน 130.80 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 27 ปี  

ด้านการลงทุนในต่างประเทศที่สำคัญในรอบปี 2565 ได้แก่ การลงนามสัญญาเข้าซื้อหุ้น 49% ใน “โรดไอร์แลนด์ สเตท เอ็นเนอร์ยี่ เซ็นเตอร์ แอลพี” (Rhode Island State Energy Center, LP) หรือ “ไรเซ็ก” (RISEC) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังผลิต 609 เมกะวัตต์ ในรัฐโรดไอร์แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโรงไฟฟ้า “ไรเซ็ก” มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในพื้นที่และมีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มกำลังผลิต ด้วยการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System) รวมถึงการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวนับเป็นการลงทุนในสหรัฐอเมริกาเป็นโครงการที่ 3 ของเอ็กโก กรุ๊ป

ทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “น้ำเทิน 1” รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังลม “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” และ “เทพพนา วินด์ฟาร์ม” ตลอดจนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ “ไรเซ็ก” ต่างเป็นโครงการที่สอดคล้องกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป ภายใต้แนวคิด “Cleaner, Smarter and  Stronger to Drive Sustainable Growth” และสนับสนุนเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) ลง 10% ตลอดจนการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 30% ภายในปี 2573 เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593

ในขณะเดียวกัน เอ็กโก กรุ๊ป ยังแตกไลน์จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าไปยังธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค นั่นคือ การเปิดให้บริการ  “คลังน้ำมันขอนแก่น” เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2565 โดยคลังน้ำมันขอนแก่นเป็นคลังน้ำมันแห่งใหม่ ที่มีความทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น บนพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ มีความจุถังน้ำมันรวม 157 ล้านลิตร จึงเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ค้าน้ำมันในการช่วยกักเก็บและบริหารการขนส่งน้ำมันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ทีพีเอ็น” จังหวัดสระบุรี-จังหวัดขอนแก่น ที่มีเส้นทางผ่าน 5 จังหวัด ระยะทางรวม 342 กิโลเมตร และมีกำลังการขนส่งน้ำมันทางท่ออยู่ที่ 5,443 ล้านลิตรต่อปี ซึ่ง “ทีพีเอ็น” จะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบต่อไปในปี 2566

จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจส่งผลให้ ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 เอ็กโก กรุ๊ป มีรายได้รวมทั้งสิ้น 46,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงาน 10,345  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,290 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า “พาจู อีเอส” มีรายได้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่โรงไฟฟ้า “ขนอม” โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” และโรงไฟฟ้า “แก่งคอย 2” มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2565

ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 ซึ่งยังอยู่ในช่วงของยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาดมากขึ้นนั้น เอ็กโก กรุ๊ป จะมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยมาจากการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยได้ตั้งงบลงทุนปี 2566 ประมาณ 30,000 ล้านบาท การลงทุนในประเทศ เช่น การเข้าร่วมประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนของภาครัฐ โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน การลงทุนในโครงการนำร่องผลิตไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้า “คลองหลวง” จ.ปทุมธานี กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นก้าวแรกของการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในประเทศไทยและสอดคล้องกับทิศทางพลังงานของโลก ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ ยังมุ่งขยายธุรกิจไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป จะบริหารสินทรัพย์และโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและปล่อยคาร์บอนฯ ให้น้อยที่สุด ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ และนำมาใช้กับโรงไฟฟ้า เช่น เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage – CCS) และการศึกษาเพื่อนำแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนฯ เป็นต้น

ล่าสุดเอ็กโก กรุ๊ป ยังได้รับการยอมรับที่สำคัญในระดับสากล คือ การได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices – DJSI) กลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ประเภทสาธารณูปโภคไฟฟ้า (Electric Utilities) ประจำปี 2565 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานครบวงจรตามแนวทาง ESG ตลอด 30 ปี โดยได้รับคะแนนประเมินอย่างโดดเด่นในมิติสังคม โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีทักษะความรู้ความสามารถและพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าขนอม ในกลุ่มเอ็กโก จ.นครศรีธรรมราช ยังได้รับรางวัลที่การันตีถึงความจริงใจในการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเกื้อกูลและสมดุล คือ รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี 2565 (The Prime Minister’s Industry Award 2022) ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม โดยโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งนับว่าเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้และมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศมานานกว่า 4 ทศวรรษนั้น ได้ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การยอมรับและการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืน และได้ริเริ่มโครงการที่มีประโยชน์ต่อชุมชน อาทิ โครงการ “ขนอมโมเดล” ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อการสาธิตเกษตรอินทรีย์แบบ Smart Farm เพื่อสร้างวงจรการผลิตอาหารที่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค รวมถึงการพัฒนาโรงไฟฟ้าขนอม หน่วยที่ 1 ซึ่งหมดสัญญาขายไฟฟ้าแล้ว ให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้โรงไฟฟ้าขนอม” เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนด้านพลังงาน กระบวนการผลิตไฟฟ้า และการอยู่ร่วมกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป เป็นต้น

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังคว้ารางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2565” (Human Rights Awards 2022) ประเภทองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ระดับดี จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม สะท้อนการดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับกิจการที่ดี โปร่งใส และตรวจสอบได้อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าตลอด 30 ปี ที่ผ่านมา เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย และขยายการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางยุคเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) ด้วยการปรับตัวและขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 และจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2608 ตามที่รัฐบาลประกาศไว้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 ด้วย

Advertisment