สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เผย 3 การไฟฟ้า เร่งดำเนินโครงการตามแผน Smart Grid ระยะสั้น ให้เสร็จตามแผนในปี 2564 นำร่องหลายโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพระบบไฟฟ้าของประเทศ ตั้งเป้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านไฟฟ้าอาเซียน
นายอนิรุทธิ์ ธนกรมนตรี โฆษกสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน 3 การไฟฟ้า (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ,การไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA)ได้ดำเนินการตามแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ(Smart Grid)ของประเทศไทย ระยะยาว 20 ปี พ.ศ.2558-2579 โดยขณะนี้ดำเนินการอยู่ในช่วงแผนระยะสั้น เฟส 2 ให้เสร็จตามกำหนดในปี 2560-2564 จากแผนระยะสั้นทั้งหมด 4 เฟส
โดย PEA เริ่มดำเนินการโครงการนำร่องด้านการตอบสนองโหลดและระบบบริหารจัดการพลังงาน ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะในพื้นที่เมืองพัทยา โดยมีการเปลี่ยนมิเตอร์เก่าให้เป็นสมาร์ทมิเตอร์ทั้งหมดเป็นตัวเลข 116,308 เครื่อง ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในปี 2563 และ 2.โครงการด้านระบบไมโครกริดและระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งได้มีการทำโครงการในพื้นที่ที่ห่างไกลจากสายส่ง ได้แก่ พื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และพื้นที่ในอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดย กฟภ.ได้ร่วมกับ กฟผ. ทำโครงการนำร่องระบบไมโครกริด โดยสร้างระบบไฟฟ้าที่แยกอิสระไม่ต้องพึ่งสายส่งหลัก และมีระบบกักเก็บพลังงานไว้ใช้ในพื้นที่ตัวเอง
3. โครงการวิจัย EV Station ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองใช้งาน ซึ่งมี Application เพื่อใช้ในการบริหารจัดการการชาร์จ โดยมีสถานีทั้งหมด 11 แห่ง อาทิ หัวหิน ปากช่อง โคราช อยุธยา คาดว่าจะเปิดใช้งานประมาณเดือน เม.ย. 2563
4.โครงการวิจัย Power Pack คือการศึกษาระบบกักเก็บพลังงานซึ่งจะติดตั้งในบ้าน หากในอนาคตผู้ผลิตมีการติดตั้ง solar rooftop กันมากขึ้น ซึ่งในงานวิจัยได้จัดทำต้นแบบระบบกักเก็บพลังงาน ( ESS ) ที่ขนาด 5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาในพื้นที่ห่างไกลในพื้นที่ที่มีการติดตั้งโซลาร์อยู่แล้ว และอาจจะเป็นธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ของ PEA ในการให้บริการกับผู้ใช้ไฟฟ้าในอนาคต
ส่วน กฟน. ดำเนินโครงการนํารองระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคารที่ทําการ ของ กฟน.ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทกริด โดยดำเนินการเสร็จแล้ว รวมทั้งดำเนินโครงการนําร่องการตอบสนองด้านโหลดและกลไกราคาในพื้นที่กทม. และปริมณฑล (DR : LAMS) เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีส่วนร่วมต่อการบริหารจัดการพลังงานของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความคุ้มค่า คาดว่าจะเสร็จ ภายในปี 2565 ส่วนโครงการนําร่องระบบไมโครกริดของ กฟน. เพื่อศึกษาระบบไมโครกริดและเป็นอาคารตัวอย่างในการเรียนรู้ระบบ Facility Microgrid ของ กฟน. เป็นการรองรับระบบไมโครกริดและการขยายตัวของพลังงานทางเลือกในเขตพื้นที่บริการ บริหารจัดการ และควบคุมไมโครกริดในเขตพื้นที่บริการได้แบบ Real time คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 นอกจากนี้ ยังมีโครงการนำร่องอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ Smart Metro Grid Project เพื่อใช้งานเทคโนโลยีระบบสมาร์ทมิเตอร์ก่อนใช้ทั่วพื้นที่ กฟน. เป็นต้น
สำหรับ กฟผ. ได้เตรียมการบทบาทด้านรักษาความมั่นคงในระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับพลังงานหมุนเวียนในอนาคต โดยปรับปรุงโรงไฟฟ้าและระบบส่งให้มีความทันสมัยมากขึ้น (Grid Modernization) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน Big Data รวมถึงโรงไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และจัดทำแผนพัฒนา Grid Connectivity เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบส่ง รองรับการส่งจ่ายไฟฟ้าในภูมิภาค มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าของอาเซียน เตรียมพร้อมการเปลี่ยนผ่านการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิล ไปเป็นพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบไฮบริด สุดท้ายนำไปสู่เรื่องโรงไฟฟ้าชุมชน สร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานราก
โดยกฟผ.ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงาน EGAT Energy Excellence Center ให้ความรู้ด้านพลังงานหมุนเวียน จุดเริ่มต้นแห่งการเกิดสมาร์ทกริด จะเป็นพื้นที่ที่ใช้พลังงานเลี้ยงตัวเองได้ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ มีระบบกักเก็บพลังงาน มีการให้ความรู้เรื่องระบบไฮโดรเจน พลังงานขยะ เพื่อนำไปผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ศูนย์ฯไม่ต้องใช้ไฟจากกริด
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน(Energy News Center-ENC) รายงานว่า กระทรวงพลังงานได้กำหนดแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ(Smart Grid)ของประเทศไทย ระยะยาว 20 ปี พ.ศ.2558-2579 ซึ่งจะใช้งบประมาณการลงทุนทั้งสิ้น 1.99 แสนล้านบาท แบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น พ.ศ.2560-2564ซึ่งเป็นช่วงของการค้นคว้าทดลองทำโครงการต่างๆ , ระยะปานกลาง พ.ศ.2565-2574 ซึ่งเป็นช่วงนำสิ่งวิจัยทดลองไปสู่ประชาชน และระยะ3 พ.ศ. 2575-2579 เป็นช่วงที่พร้อมปฏิบัติได้จริง ซึ่งแผน Smart Grid ได้บรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2561-2580 หรือPDP2018 ด้วย
โดยปัจจุบันกำลังดำเนินการอยู่ในช่วงแผนระยะสั้นซึ่งมีทั้งหมด 4 ช่วง ประกอบด้วย ช่วงแรก ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อปี 2558-2559 คือเป็นช่วงเตรียมการทางด้านนโยบายต่างๆ และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการช่วงที่ 2 ระหว่างปี 2560-2564 คือ พัฒนาโครงการนำร่องเพื่อทดสอบความเหมาะสมทางเทคนิคและความคุ้มค่าของการลงทุนในแต่ละเทคโนโลยี ดำเนินการโดย 3 การไฟฟ้าคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ส่วนช่วงที่ 3 จะเกิดขึ้นในปี 2565-2574 ที่จะเริ่มพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับระบบโครงข่ายสมาร์ทกริด และช่วงที่ 4 ครอบคลุมปี 2575-2579 เริ่มทดสอบความสามารถของโครงข่ายสมาร์ทกริดอย่างเต็มรูปแบบ