ไออาร์พีซี​ เดินหน้าต่อยอดธุรกิจผลิตทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ​และผลิตภัณฑ์การแพทย์

807
- Advertisment-

ไออาร์พีซี เดินหน้าเจรจาพันธมิตรผู้ประกอบการธุรกิจขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ หวังต่อยอดเชิงพาณิชย์ธุรกิจผลิตทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ หลังประสบความสำเร็จจากการทดลองติดตั้งโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำขนาด​12.5 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ 200 ไร่ ของบริษัท ที่ จ.ระยอง​ พร้อมกำหนดทิศทางธุรกิจปี 2564 มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสุขอนามัยเป็นหลัก ตอบโจทย์ความต้องการสินค้าหลังวิกฤติโควิด-19

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อศึกษาช่องทางการจัดจำหน่ายทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ​ (Floating Solar) หลังจากได้ทดลองนำร่องติดตั้งโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำ ในพื้นที่ 200 ไร่ บนบ่อน้ำดิบสำรองของบริษัท ที่ จ.ระยอง​ กำลังการผลิต 12.5 เมกะวัตต์​เมื่อ​ปลายปี 2563 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยการหารือกับพันธมิตรเพื่อเตรียมพร้อมเชิงพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงเม็ดพลาสติกที่นำมาผลิตทุ่นโซลาร์ลอยน้ำที่จะต้องมีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี หรือเท่ากับสัญญาการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุดต่อการจำหน่ายและการต่อยอดธุรกิจต่อไป

- Advertisment -

ทั้งนี้ทุ่นลอยน้ำ เป็นนวัตกรรมเม็ดพลาสติก HDPE (High Density Polyethylene หรือ โพลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง) เกรดพิเศษสีเทา แบรนด์ “POLIMAXX” ของ IRPC มีคุณสมบัติช่วยลดอุณหภูมิใต้แผงโซลาร์เซลล์ได้ถึง 5-8 องศา ส่งผลให้ระบบผลิตกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูง ทนทานต่อแสง UV และทนต่อแรงกระแทก โดยมีอายุการใช้งานของวัสดุยาวนานถึง 25 ปี ซึ่งปลอดภัยต่อระบบนิเวศใต้น้ำ และผ่านการทดสอบ Food Grade ขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (US FDA)

นายชวลิต กล่าวด้วยว่า ในส่วนของภาพรวมธุรกิจสำหรับปี 2564 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายให้กลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังจากขาดทุนต่อเนื่องสองปี ตั้งแต่ปี 2562 ขาดทุน 1,174 ล้านบาทและ ปี 2563 ขาดทุน 6,150 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ลดต่ำลง จนต้องลดต้นทุนและกำลังการผลิตลงบางส่วน

โดยผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้บริษัทเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย โดยการปรับเปลี่ยนทั้งโครงสร้างต้นทุน รูปแบบการทำธุรกิจและวิธีการทำงานที่เข้าใจ เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น (Human centric) ด้วยการใช้นวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมทั้งขยายขอบเขตการลงทุน สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรและการพัฒนาธุรกิจไปยังกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยกำหนดเป้าหมายและวิธีการเดินหน้าสู่ความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ 3 S ได้แก่ Strengthening the core, Striving the growth, Sustaining the future

โดย​ Strengthening the core คือ​ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจหลัก ได้แก่ แผนการลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 (Euro V) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในปี 2566 นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบ IRPC 4.0 ซึ่งเป็นการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร

Striving the growth คือขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ​ ได้แก่ความร่วมมือกับบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ศึกษาการผลิต Melt Blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และNitrile Butadiene Latex วัตถุดิบที่นำไปผลิตเป็นถุงมือแพทย์

พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมทุนกับบริษัท เจแปน โพลิโพรพิลีน คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ JPP เพื่อผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ พีพีคอมพาวด์ ให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยหวังว่าในอนาคตธุรกิจรถ EV จะเติบโตมากขึ้น

Sustaining the future คือการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน และสังคมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการใช้พลังงานทดแทนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) การนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในองค์กรอย่างครบวงจร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับลูกค้าและองค์กรต่างๆ เพื่อแสดงความรับผิดชอบในการนำพลาสติกกลับมารีไซเคิล (Zero Plastic Waste) และการสร้างคุณค่าให้กับสังคม (Creating Social Value) โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชสร้างห้องปฏิบัติการกลางเพื่อตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2564

Advertisment