ไทยและฮ่องกง เดินหน้าสร้างความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ผ่าน MOU ทั้ง 4 ฉบับ เพื่อเชื่อมโยงการค้า การลงทุน ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมและ Startup ระหว่างกัน ด้าน อินโนสเปซ (ไทยแลนด์) วางแผนจับมือฮ่องกง เกาหลี และอิสราเอล ร่วมพัฒนา Startup ประเดิมระดมเงินทุนเริ่มต้นจากภาคเอกชนไทยและต่างชาติ 500 ล้านบาท ตั้งเป้าสร้างผู้ประกอบการ Startup จำนวน 50 ราย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรมสร้างความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจไทย-ฮ่องกง ในโอกาสที่นางแครี่ หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง พร้อมคณะภาครัฐและเอกชนฮ่องกง เดินทางเยือนไทย ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งยังได้เปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (Hongkong Economic and Trade Office : HKETO) ที่กรุงเทพฯ
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Greater Bay Area (GBA) ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจเชื่่่่อมฮ่องกง มาเก๊า กวางตุ้ง จะเป็นประตูการค้า การลงทุน และความร่วมมือที่สำคัญของไทย เนื่องจากฮ่องกงมีผู้ประกอบการที่แข็งแกร่ง มีความสามารถ และมีเครือข่ายการค้าระดับโลก รวมทั้งมีวิทยาการ การวิจัยและพัฒนา (R&D) ทำให้ฮ่องกงเป็นหัวหอกหรือเป็นหัวขบวนที่สำคัญใน GBA ในการยกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจีน ดังนั้นกลุ่ม CLMVT ที่ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย จะสามารถใช้ประโยชน์นี้เพื่อเชื่อมโยงและขยายการค้า การลงทุนระหว่างกันได้ในทุกมิติจากการมีพรมแดนที่เชื่อมต่อกัน โดยฮ่องกงจะเป็นประตูไปสู่ GBA ขณะที่ไทยเป็นประตูสู่ CLMV และอาเซียน ซึ่งเชื่อว่าอาเซียนจะเป็นแหล่งซัพพลายทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ นอกเหนือจากด้านการค้าและการลงทุน แต่จะเป็นแหล่งทรัพยากรเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ การที่ฮ่องกงมาตั้งสำนักงานในประเทศไทย แสดงถึงความเชื่อมั่นและจุดเริ่มต้นที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าขายและอื่นๆ ในอนาคตจากกลไกการหารือในหลากหลายมิติ เนื่องจากฮ่องกงยังมีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง และสถาบันวิจัยที่เรียกว่า Cyber Port ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมและพัฒนา Startup รวมทั้งตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่ประเทศไทยจะพัฒนาความร่วมมือได้อีกหลายรูปแบบ
ทั้งนี้ ฮ่องกงยังมีการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานของไทย จำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย ความร่วมมือด้านการพัฒนา Startup และการจัดตั้ง Smart City ซึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนและประสานงานของกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1. Innospace (Thailand) กับ HKTDC 2. Innospace (Thailand) กับ Hong Kong Cyber Port 3. Innospace (Thailand) กับ Ho & Partners Architects Engineering & Development Consultants Limited (HPA) และฉบับที่ 4. เป็นการลงนามระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กับ HKTDC เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนและการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่าย
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานที่ปรึกษา บริษัท อินโนสเปซ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือทั้ง 3 ฉบับ จะเป็นการขับเคลื่อนและกระตุ้นนวัตกรรม (Innovation) และความคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative) ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้สามารถต่อยอดไปเป็นอุตสาหกรรมได้จริง และตอบโจทย์ความต้องการและปัญหาของภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ อินโนสเปซ จะเป็น National Platform ที่เชื่อมโยงระบบนิเวศในการสร้างและพัฒนา Startup โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กหรือเอสเอ็มอี ให้สามารถเติบโตได้ โดยมีภาครัฐและภาคเอกชนร่วมลงทุน ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งภาคเอกชน อาทิ ธนาคารกรุงเทพ บางกอกเวนเจอร์ ปตท. และเอสซีจี เบื้องต้นจะเน้นส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมเชิงพาณิชย์ที่เรียกว่า Deep Technology รวมทั้งฟินเทค อุตสาหกรรมโรบอทเอไอ (Robot AI) และไบโอเคมิคอล เป็นต้น
เบื้องต้น สำนักงานของอินโนสเปซ (ไทยแลนด์) จะตั้งอยู่ในพื้นที่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ศูนย์กล้วยน้ำไท และกำลังพิจารณาจะตั้งสำนักงานเพื่อเป็นฐานในระยะกลางและระยะยาวในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi)
นายสันติ กีระนันท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นอกจากความร่วมมือกับฮ่องกง โดยมีเป้าหมายจะสร้าง Startup จำนวน 50 รายแล้ว จะขยายความร่วมมือลักษณะนี้กับประเทศเกาหลีใต้และอิสราเอลด้วย ซึ่งเกาหลีใต้มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและฟินเทค ขณะที่อิสราเอลเป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Startup ระดับโลก คาดว่าจะลงนามกับเกาหลีใต้ ไม่เกินไตรมาส 2 และอิสราเอลลงนามได้ไม่เกินครึ่งแรกของปีนี้ โดยจะมี Startup ของทั้งสองประเทศดังกล่าวมาร่วมลงทุนในบริษัท อินโนสเปซ (ไทยแลนด์) ประเทศละ 4-5 ราย