บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) คาดราคาน้ำมันโลกทรงตัวระดับสูง 95-100 เหรียสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หากการสู้รบในยูเครนยุติได้ ชี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19 ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ดันค่าการกลั่นกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด ระบุเตรียมพร้อมปรับธุรกิจรองรับรถ EV เติบโตในไทย เน้นต่อยอดไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง พร้อมกำหนดเป้าหมายสัดส่วนกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และธุรกิจใหม่อีก 10% ภายในปีพ.ศ. 2573
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดการณ์ราคาน้ำมันโลกปี 2565 อยู่ระดับ 95-100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หากการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครนประสบผลสำเร็จ แต่หากไม่สามารถตกลงกันได้ ราคาน้ำมันอาจขึ้นไปถึง 110-115 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลได้ เนื่องจากความกังวลด้านซัพพลายน้ำมันจากรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับต้นๆของโลก
ส่วนค่าการกลั่นในปี 2565 คาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับก่อนสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากผลต่างราคาดีเซลและน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นมาก ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส2-3 นี้ เข้าสู่ฤดูร้อนของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงฤดูเดินทาง ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้นไปอีก
ส่วนกรณีภาครัฐกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจาก 4% เป็น 5% ของปริมาณการจำหน่าย และเพิ่มสำรองน้ำมันสำเร็จรูปเป็น 2% จากเดิมกำหนดไว้ 1% ของปริมาณจำหน่าย ซึ่งบริษัทฯ ยืนยันว่าได้เตรียมความพร้อมเพิ่มสำรองน้ำมันเป็น 5% ไว้อยู่แล้ว
นายวิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนกรณีแนวโน้มกระแสยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่มีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น เชื่อว่าอีกหลายปีกว่ารถ EV จะเข้ามาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันในประเทศ เนื่องจากข้อมูลสถิติรถ EV เข้ามาแทนที่รถใหม่ที่ใช้น้ำมันอยู่แค่ 2% จากรถใหม่ในตลาดทั้งหมด ประกอบกับคนไทยใช้รถยนต์เป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 5-10 ปีต่อคัน การเปลี่ยนเป็นรถ EV ส่วนใหญ่ของประเทศจึงใช้เวลาหลายปี นอกจากนี้ปัญหาการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ราคาแบตเตอรี่รถ EV มีโอกาสสูงขึ้นอีกด้วย แต่บริษัทฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เตรียมแผนปรับตัวไว้แล้ว
โดยบริษัทฯ ได้ทบทวนแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและบริบทของธุรกิจ พร้อมก้าวสู่องค์กร 100 ปีอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Building on Our Strong Foundation ต่อยอดธุรกิจ ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง กระจายผลิตภัณฑ์ตามที่ตลาดต้องการโดยเจาะลึกในตลาดภูมิภาคที่มีความต้องการสูง รวมถึงกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่มีความผันผวนต่ำและลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนของกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และธุรกิจใหม่อีก 10% ภายในปีพ.ศ. 2573
นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาวให้แข็งแกร่ง เพื่อให้พร้อมรองรับการขยายธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยเตรียมแผนไว้ 2 ส่วน คือ การขายหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จำนวน 304 ล้านหุ้น คิดเป็น 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ GPSC เป็นมูลค่ารวมประมาณ 22,351 ล้านบาท คาดบริษัทจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น GPSC ในครั้งนี้ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาส 2/2565
ขณะเดียวกันบริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) จำนวนไม่เกิน 239 ล้านหุ้น และเตรียมกรีนชูอีกจำนวนไม่เกิน 35.885 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนได้ภายในไตรมาส 3/2565
โดยบริษัทจะนำเงินจากทั้งสองส่วน คือเงินจากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน และเงินจากการขายหุ้น GPSC เพื่อใช้สำหรับชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้น (bridge loans) จากการลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ประเทศอินโดนีเซีย จำนวน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดอัตราส่วนระหว่างหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทฯ (Net Debt-to-Equity Ratio: D/E) ให้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.4 เท่า และคงอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (Credit rating) ให้อยู่ในเกณฑ์กลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ