บทความโฆษณา / Advertorial
ด้วยสภาวะตลาด PV ของประเทศไทยในปัจจุบัน ธุรกิจการติดตั้งระบบโซล่าร์เซลล์มีการแข่งขันกันมากขึ้น เมื่อต้นทุนต่อวัตต์ของอุปกรณ์ PV ต่างๆลดลง บริษัทผู้ติดตั้งอาจพบว่าการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ยังคงมีกำไรกลายเป็นเรื่องยาก บริษัทผู้ติดตั้งจึงจำเป็นต้องมองหาวิธีการปรับปรุงความสามารถในการแข่งขัน และทำกำไร การเลือกใช้อินเวอร์เตอร์จึงเป็นกุญแจสำคัญในขั้นตอนนี้
อินเวอร์เตอร์ถือเป็นค่าใช้จ่ายเพียงประมาณ 10% ของค่าใช้จ่ายระบบ PV ทั้งหมด แต่กลับส่งผลต่อค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การขออนุญาต การหาลูกค้าใหม่ ต้นทุนอุปกรณ์อื่นๆ (Balance of System) ค่าแรงงาน และอื่นๆ นอกจากนี้ อินเวอร์เตอร์ยังส่งผลต่อต้นทุนรองต่างๆ เช่น การตรวจสอบ การรายงาน การดำเนินงานและการบำรุงรักษา (O&M) โซลูชั่นอินเวอร์เตอร์ DC Optimize ของ SolarEdge สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ จึงสามารถช่วยผู้ติดตั้งในการเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจของตัวเองด้วย
อินเวอร์เตอร์ PV แบบดั้งเดิมมีสองฟังก์ชั่นหลัก คือ การแปลงไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เป็น ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และเพิ่มการผลิตไฟให้ได้สูงสุดในระดับสตริงค์ (String) อย่างไรก็ตาม โดยการแยกการทำงานของอินเวอร์เตอร์แบบดั้งเดิมออกเป็นสองส่วน คือ ใช้อุปกรณ์ Power Optimizer เพื่อเพิ่มการผลิตพลังงานให้ได้สูงสุดในแต่ละแผง (module) และส่วนของอินเวอร์เตอร์ที่ทำหน้าที่แปลง DC-AC และเชื่อมกับระบบกริดเท่านั้น SolarEdge จึงสามารถเอาชนะข้อบกพร่องโดยธรรมชาติของอินเวอร์เตอร์แบบดั้งเดิม โดยโซลูชันใหม่นี้จะให้ประโยชน์แก่เจ้าของระบบหลายประการ และยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้บริษัทผู้ติดตั้งด้วยเช่นกัน
การเชื่อมต่อแต่ละแผงเข้ากับ Power Optimizer ช่วยให้แต่ละแผงสามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้เต็มศักยภาพการผลิตสูงสุดของแผงการผลิตพลังงานสูงสุดจากแต่ละแผงทำให้ได้พลังงานทั้งหมดมากขึ้น โดยมาจากการลดปัญหาค่าพลังงานของแต่ละแผงที่ไม่ตรงกัน (module-level mismatch) นอกจากจะทำให้เจ้าของระบบได้พลังงานมากกว่าเดิมจากระบบของตัวเองแล้ว ยังสามารถช่วยให้บริษัทผู้ติดตั้งชนะได้งานโครงการมากขึ้นด้วยการเสนอระบบ PV ที่ผลิตพลังงานได้มากกว่าและมีตัวเลข RoI ที่ดีกว่า โดยการเพิ่มจำนวนเปอร์เซ็นต์ปริมาณของระบบที่ติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ ประสิทธิภาพของบริษัทผู้ติดตั้งจะดีขึ้นไปด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยลดต้นทุนเฉลี่ย/วัตต์ในราคาที่นำเสนอเพื่อหาลูกค้าใหม่
ด้วยอินเวอร์เตอร์แบบ DC Optimize ของ SolarEdge บริษัทผู้ติดตั้งและเจ้าของระบบจะได้รับประโยชน์จากการออกแบบที่ไร้ข้อจำกัดต่างๆ โดยในระบบ SolarEdge แรงดันไฟฟ้าของสตริงค์ (String) จะคงที่เสมอ โดยไม่คำนึงถึงอุณหภูมิ หรือระยะความยาวของสตริงค์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถต่อสตริงค์ได้ยาวกว่าเดิม และช่วยลดต้นทุน BoS ซึ่งหมายความว่าเมื่อใช้ SolarEdge บริษัทผู้ติดตั้งสามารถออกแบบระบบที่มีสตริงค์คู่ขนานที่ยาวไม่เท่ากัน รวมหลายแผงทั้งหลายขนาดและทิศทางการหันแผง และหลายรูปแบบการติดตั้งไว้ในสตริงค์เดียวกันได้ การออกแบบเรียบง่ายแบบนี้ช่วยให้ผู้ติดตั้งทำงานในการออกแบบระบบ PV ได้เร็วมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ความยืดหยุ่นในการออกแบบนี้ยังช่วยให้ใช้สตริงค์ได้ยาวขึ้นถึง 17.25kWp ต่อสตริงค์ โดยสตริงค์ที่มีความยาวมากขึ้น จะทำให้ติดตั้งได้ด้วยสตริงค์ในจำนวนที่น้อยลง สามารถลดค่าใช้จ่าย BoS ได้ถึง 50% ซึ่งสามารถช่วยให้บริษัทผู้ติดตั้งเสนอราคาที่สามารถแข่งขันได้ สำหรับระบบที่ให้พลังงานได้มากกว่าเดิม
ประโยชน์เพิ่มเติมของโซลูชั่นอินเวอร์เตอร์แบบ DC Optimize ของ SolarEdge ด้านความยืดหยุ่นในการออกแบบคือ ความสามารถในการเพิ่มขนาดกำลังการติดตั้งของระบบ เมื่อรวมผลประโยชน์ที่ยกมาทั้งหมดจะช่วยให้ออกแบบใช้แผงได้จำนวนมากขึ้นกับการออกแบบระบบสำหรับติดตั้งบนหลังคา สำหรับเจ้าของระบบ นี่หมายถึงการได้พลังงานไฟฟ้า และรายได้ที่มากขึ้น และสำหรับบริษัทผู้ติดตั้ง หมายถึงความได้เปรียบในการแข่งขันและการช่วยเพิ่มกำไรเฉลี่ยต่อการติดตั้ง
ประเด็นสำคัญอีกข้อหนึ่งในระบบ PV คือความปลอดภัย นักดับเพลิงถูกห้ามไม่ให้ดับไฟด้วยน้ำอย่างรวดเร็วเมื่อมีระบบ PV ติดตั้งที่อาคาร เนื่องจากแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงจากแผงอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงจากไฟฟ้าช็อต วิธีที่นักดับเพลิงต้องใช้คือ ผงเคมีแบบแห้งที่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งหรือปล่อยให้โรงไฟฟ้า PV ไหม้จนดับตามธรรมชาติไปเอง ซึ่งอาจส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหาย และเสียหายทางการเงินอย่างมาก อินเวอร์เตอร์แบบ DC Optimize ของ SolarEdge มีเทคโนโลยี SafeDC™ ฝังอยู่ในระบบโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือต้องออกแบบอะไรเพิ่มเติมอีก ในระบบ SolarEdge เมื่อใดก็ตามที่ไฟ AC ปิดใช้งาน แรงดันสายไฟฟ้า DC จะลดลงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย อุปกรณ์ DC Optimizer จะลดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงในสายไฟ PV เพื่อป้องกันผู้ติดตั้ง เจ้าหน้าที่ทำการบำรุงรักษา และนักดับเพลิง
เมื่อระบบ PV เริ่มเก่า ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับทั้งเจ้าของระบบและบริษัทผู้ติดตั้งคือ การดำเนินงานและการบำรุงรักษา (O&M) อย่างไรก็ตาม ด้วยแพลตฟอร์มการตรวจสอบระดับรายแผงของ SolarEdge ที่ใช้งานได้ฟรีและอยู่บนระบบคลาวด์ สามารถพลิกข้อเสียเปรียบนี้ให้เป็นโอกาสได้ ด้วยการตรวจสอบประสิทธิภาพระดับแผง การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการแก้ไขปัญหาจากระยะไกล บริษัทผู้ติดตั้งจะได้รับประโยชน์จากการลดการเดินทางไปยังไซต์ การใช้เวลาที่ไซต์น้อยลง และเจ้าของระบบจะได้ระบบที่มีเวลาพร้อมใช้งาน (uptime) สูงกว่าเดิม ที่จริงแล้วงานด้าน O&M อาจเป็นช่องทางรายได้ใหม่สําหรับบริษัทผู้ติดตั้ง โดยการนำเสนอบริการ O&M แบบแตกต่างกันหลายระดับให้กับเจ้าของระบบ
สรุปสั้น ๆ คือ โซลูชั่นอินเวอร์เตอร์แบบ DC Optimize ของ SolarEdge สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าสำหรับห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ โดยจะช่วยบริษัทผู้ติดตั้งเพิ่มรายรับ และลดค่าใช้จ่าย และยังช่วยเพิ่มค่า RoI สำหรับเจ้าของระบบด้วยเช่นกัน
เรียนรู้เพิ่มเติมกับ SolarEdge: https://marketing.solaredge.com/acton/fs/blocks/showLandingPage/a/8801/p/p-0964/t/page/fm/0
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนโดย:
Lior Handelsman ก่อตั้ง SolarEdge ในปี 2006 และปัจจุบันทำหน้าที่เป็นรองประธานฝ่ายการตลาดและกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดและกำกับกิจกรรมการตลาดระดับโลกเชิงยุทธศาสตร์ของ SolarEdge สื่อประชาสัมพันธ์ แผนงานผลิตภัณฑ์และวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ขององค์กร การจัดการผลิตภัณฑ์ทั่วโลก รวมทั้งการพัฒนาธุรกิจขององค์กร ก่อนที่จะก่อตั้ง SolarEdge นาย Handelsman ใช้เวลา 11 ปี ในบทบาทผู้นำทีมวิจัยและการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการกำกับโครงการวิจัยและพัฒนาสเกลขนาดใหญ่แบบสหสาขาวิทยาการ นาย Handelsman สำเร็จการศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า (เกียรตินิยม) และ MBA จาก Technion สถาบันเทคโนโลยีแห่งอิสราเอล