บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยยังไม่มีการลงนามสัญญาซื้อขายLNGระยะยาวป้อนโรงไฟฟ้าหินกอง 1,400 เมกะวัตต์ โดยยังรอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนดหลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG ให้ชัดเจนก่อน คาดนำเข้าLNGล็อตแรก ทดสอบระบบในปี 2566 ก่อนผลิตไฟฟ้าเข้าระบบจริงปี 2567-2568 ในขณะที่ผลดำเนินงาน 9 เดือนปี 64 กำไร 5,648.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.9%
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าโรงไฟฟ้าหินกองขนาด 1,400 เมกะวัตต์ ที่ จ.ราชบุรี ว่า บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เตรียมพร้อมทดสอบนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ล็อตแรก มาใช้กับโรงไฟฟ้าหินกองในปี 2566 นี้ โดยเป็นการนำเข้า LNG จากบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด(HKH) ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อป้อนให้โรงไฟฟ้าหินกองโดยตรง จำนวน 1.4 ล้านตันต่อปี
การทดสอบใช้ LNG ผลิตไฟฟ้าดังกล่าวเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบจริงตามสัญญา ซึ่งจะต้องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) เฟสแรก 700 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 มี.ค. 2567 และเฟส 2 อีก 700 เมกะวัตต์ COD วันที่ 1 ม.ค. 2568
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าหากราคา LNG พุ่งสูงก็จะต้องส่งผ่านเป็นภาระค่าไฟฟ้าสู่ประชาชน ซึ่งเป็นไปตามปกติของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ( PPA ) แต่ขณะนี้ กกพ.อยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG ที่จะมาใช้กับโรงไฟฟ้า ซึ่งต้องไม่แพงกว่าราคาที่บริษัท ปตท.จำกัด ( มหาชน ) นำเข้าในช่วงเดียวกัน โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเป็นตัวกำกับราคาไม่ให้กระทบกับค่าไฟฟ้าประชาชนมากเกินไป
ดังนั้นขณะนี้บริษัท HKH จึงยังไม่ได้ลงนามสัญญาซื้อขาย LNG กับผู้ขายรายใด เพราะต้องรอความชัดเจนด้านหลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG จาก กกพ.ก่อน จึงจะนำไปเจรจาซื้อ LNG กับซัพพลายเออร์ได้
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ขนาดกำลังการผลิต 1,400 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้าจำนวน 2 ชุด ชุดละ 700 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง พัฒนาและดำเนินการโดยบริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด ซึ่งถือหุ้น 100% โดยบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด โครงการนี้ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 25 ปี กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2562 และมีกำหนดการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2567 สำหรับหน่วยผลิตไฟฟ้าชุดที่ 1 และปี 2568 สำหรับหน่วยผลิตไฟฟ้าชุดที่ 2 โดยปัจจุบัน มูลค่าโครงการประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 29,824.13 ล้านบาท สำหรับกำไรในงวด 9 เดือน มีจำนวน 5,648.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าของกลุ่มโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียและส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมทุน ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายปรับตัวลดลง