เชฟรอนปรับองค์กรให้คล่องตัวรับมือกับทุกสถานการณ์ด้วยกลยุทธ์ Agile พร้อมเสนอรัฐต่ออายุสัมปทานแหล่งไพลิน เพื่อลุยลงทุนเพิ่มพัฒนาแหล่งน้ำมันดิบ “อุบล” หนุนรัฐบาลเดินหน้าพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา (TCOCA) สร้างความมั่นคงพลังงานให้ประเทศ ระบุผลดำเนินงานในไทยครบ 60 ปี จ่ายค่าภาคหลวงให้รัฐรวมแล้วกว่า 5.5 แสนล้านบาท
หลังจากการส่งมอบแหล่งปิโตรเลียมเอราวัณให้กับรัฐและผู้รับสัญญารายใหม่อย่างปลอดภัยเมื่อเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด คนใหม่ ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสายพลังงานอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ถึงการกระชับขนาดธุรกิจสู่ Lean organization เพื่อเดินหน้าธุรกิจขยายการลงทุนในประเทศไทย
ด้วยขนาดของธุรกิจที่เล็กลงกว่าเดิม ที่เหลือสัมปทานปิโตรเลียมในแหล่งไพลิน (B12/27) และเบญจมาศ (B8/32) ที่มีปริมาณการผลิตก๊าซรวม 482 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คอนเดนเสท 16,559 บาร์เรลต่อวัน และ น้ำมันดิบอีก 7,499 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2565 ) หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของปริมาณการผลิตที่เคยมีอยู่เดิมก่อนส่งมอบแหล่งเอราวัณ
นายชาทิตย์ กล่าวว่า เชฟรอน ต้องมีการปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพการทำงานสูงเปรียบเหมือน “เครื่องบินเจ็ท” ขนาดความเร็วสูง โดยมีพนักงานกว่า 600 คน ซึ่ง 99% เป็นคนไทย และพนักงานจากบริษัทผู้รับเหมาอีกกว่า 300 คน ที่พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนสำหรับการเดินทางเพื่อบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาพลังงานที่คนไทยเข้าถึงได้ สะอาด ปลอดภัยและเชื่อถือได้
โดยมีการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ ชูกลยุทธ์ Agile ที่มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่ Protect people and the environment มุ่งความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน เสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทั้งสำหรับพนักงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม Better Leaders เติมเต็มศักยภาพมุ่งพัฒนาบุคลากรในทุกระดับ เน้นการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ Future growth opportunities สร้างความเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาแนวทางการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของแหล่งปิโตรเลียมที่บริษัทฯ ได้รับสัมปทาน ตลอดจนมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และสุดท้ายกับภารกิจ Lower Carbon มุ่งลดความเข้มข้นในการปล่อยก๊าซคาร์บอน (carbon intensity) เพื่อจัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้นและสนับสนุนแผนพลังงานชาติสู่สังคมที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ เชฟรอนยังริเริ่มใช้กลยุทธ์การทำงานแบบผสมผสานหรือ Hybrid Work Model ซึ่งปรับให้มีชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น พร้อมปรับโฉมสำนักงานใหม่ในรูปแบบ Flexible Work Hybrid ที่แบ่งโซนการทำงานให้สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น
สำหรับวัฒนธรรมองค์กรฉบับใหม่นั้น บริษัทฯ มุ่งเน้นที่การส่งเสริมคุณค่าใน 4 ด้าน ได้แก่ One Team เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมตั้งแต่ก้าวแรกของการดำเนินงาน เพราะการที่จะบรรลุเป้าหมายของแต่ละโครงการ จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่าย จึงสนับสนุนการทำงานแบบ Cross-Function เพื่อให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น Growth Mindset ส่งเสริมให้พนักงานทดลองคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และไม่หยุดพัฒนา Empowerment ส่งเสริมให้พนักงาน กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ รวมถึงสามารถแสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ และสุดท้ายกับคุณค่าด้าน Agile ที่มุ่งเน้นให้พนักงานสามารถปรับตัวต่อทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างผลลัพธ์ในทางที่ดียิ่งขึ้น
เล็งเพิ่มการลงทุนพัฒนาศักยภาพแหล่งน้ำมันดิบหลังได้รับการต่ออายุสัมปทาน
นายชาทิตย์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเสนอกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเพื่อขอต่อระยะเวลาการผลิตของแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งไพลินจากปี พ.ศ.2571 ไปอีก 10 ปี ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้สามารถทำให้ เพื่อให้เกิดการลงทุนและพัฒนาพื้นที่การผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการต่ออายุสัมปทานดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านการลงทุน
ทั้งนี้เชฟรอนกำลังมีการทบทวนการดำเนินโครงการผลิตปิโตรเลียมแหล่งอุบล (อยู่ในพื้นที่สัมปทานแหล่งไพลิน) ซึ่งมองว่ามีศักยภาพที่จะพบน้ำมันดิบและพัฒนานำขึ้นมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจว่าจะพัฒนาแหล่งอุบลหรือไม่นั้น จะต้องรอให้ภาครัฐอนุมัติการต่ออายุสัมปทานแหล่งไพลินก่อน เพื่อพิจารณาด้านความคุ้มค่าในการลงทุน
หนุนรัฐบาลเดินหน้าพื้นที่ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล (Special Economic Zone)
นอกจากนี้ เชฟรอน ยังสนับสนุนรัฐบาลให้เดินหน้าการพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา (TCOCA) หรือ พื้นที่ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล (Special Economic Zone) ซึ่งมองว่าจะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับประเทศ ตอบโจทย์ของประเทศในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน รวมถึงเป็นทางออกสำหรับวิกฤตด้านพลังงาน เพราะการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศเป็นหลักนั้นมีความเสี่ยงจากราคาที่มีความผันผวนสูง ส่งผลต่อราคาพลังงานโดยเฉพาะค่าไฟที่ประชาชนต้องแบกรับภาระ ดังที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโครงการที่สามารถสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนที่เป็นการสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องการการตัดสินใจจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะการพัฒนาโครงการด้าน E&P ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ นอกจากนี้ TCOCA ยังตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด (Solution for energy transition) ได้ โดยเชฟรอนมีความพร้อมในการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อปลดล็อกแหล่งพลังงานในอ่าวไทยที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เกิดความคุ้มค่าและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศไทย
กลยุทธ์ Thailand Clean Operations Strategy 3 ด้าน
สำหรับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่สะอาด (Lower Carbon) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแผนพลังงานชาติของรัฐบาล เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change) บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายด้วยการลดปริมาณความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการปฏิบัติงานในประเทศไทยลง 20% ภายในปี พ.ศ. 2571 (ค.ศ. 2028) และลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) โดยมีแนวทางในการจัดการลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการปฏิบัติงาน ผ่านกลยุทธ์ Thailand Clean Operations Strategy ใน 3 ด้าน ได้แก่
1) Energy Efficiency – ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เครื่องจักร อาทิ เปิดใช้เครื่องจักรตามความจำเป็น พัฒนาคุณภาพเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ยังได้รับอนุมัติงบประมาณสนับสนุนจำนวน 588,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 20 ล้านบาท) จากเชฟรอน คอร์เปอร์เรชั่น สำหรับใช้ในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น
2) Flare and Vent – ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงด้วยกระบวนการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Flare และVent เป็นกระบวนการจัดการการปล่อยก๊าซส่วนเหลือเพื่อลดความดันจากอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัยในกระบวนการผลิตและบำรุงรักษาเครื่องจักร ตัวอย่างของการดำเนินงาน เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ตรวจจับก๊าซส่วนเกินจากระบบเพื่อลดความดันภายในท่อก๊าซ ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเผาไหม้ก๊าซส่วนเกิน การใช้เทคโนโลยีตรวจเช็คประสิทธิภาพของอุปกรณ์
3) Feasibility Study – ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีมาใช้จัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้น อาทิ เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนที่แท่นหลุมผลิตของเรา โดยมีการวางแผนใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ควบคู่ไปกับการใช้พลังงานลมสลับกันในระหว่างวันสำหรับผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำร่องดำเนินงานที่แท่นหลุมผลิตย่อย (Remote platform) ได้ภายในปีหน้า นอกจากนี้ เชฟรอนยังทำงานร่วมกับบริษัทผู้ร่วมทุนในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage) มาใช้เป็นครั้งแรกในอ่าวไทยที่แหล่งอาทิตย์ด้วย
จัดตั้ง “Integrated Operation Center” หรือ IOC ที่สำนักงานกรุงเทพฯ เพิ่มประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน
นายชาทิตย์ กล่าวว่า ตัวอย่างหนึ่งในการปรับองค์กรตามกลยุทธ์ Agile และเพิ่มประสิทธิผลในการปฏิบัติงานนั้น เชฟรอนได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานและความปลอดภัย โดยล่าสุด บริษัทได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานของแท่นผลิต ที่เรียกว่า “Integrated Operation Center” หรือ IOC ที่สำนักงานกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่มีการนำ Control room นอกชายฝั่งของแหล่งผลิตกลางอ่าวไทยทั้ง 3 แห่ง คือ เบญจมาศ ไพลินเหนือ และไพลินใต้ มารวมไว้ที่สำนักงานกรุงเทพฯ ทำให้สามารถควบคุมและสั่งการระบบการผลิตซึ่งห่างออกไป 300 กิโลเมตรได้ โดยคนบนฝั่งสามารถทำงานร่วมกับพนักงานนอกชายฝั่งได้แบบ real-time ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ช่วยให้มีการทำงานแบบ cross-functional team มากขึ้น เพิ่มความคล่องตัวในการสื่อสารและขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยข้อมูลเป็นหลัก ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารได้อย่างฉับไวเพื่อใช้ในการวางแผน และประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยที่เอื้อให้องค์กรสามารถปรับตัวและรับมือต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว (Agile)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาเทคนิคการขุดเจาะแบบ Slanted Well ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมที่มีความลาดเอียงสูงได้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตอีกด้วย โดยจากวัฒนธรรมขององค์กรที่เข้มแข็ง ที่เน้นการทำงานร่วมกันแบบ Collaborative ทำให้เชฟรอนมีเครือข่ายจากทั่วโลกที่พร้อมให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความชำนาญในด้านต่างๆ เพื่อการเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของทั้งองค์กรไปด้วยกัน
ยึดกลยุทธ์ “4 E’s” ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง
เชฟรอนยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยต่อไปผ่านกลยุทธ์ “4 E’s” ได้แก่ Education การสนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาบุคลากรเพื่อขับเคลื่อนประเทศ เช่น โครงการ ‘Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต’ มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมของประเทศ Environment & Energy Conservation การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการ ‘เสริมสร้างศักยภาพศูนย์การเรียนรู้เพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนสำหรับสหกรณ์ผลิตยางแผ่นรมควัน จังหวัดสงขลา’ หนุนการผลิตยางแผ่นรมควันคาร์บอนต่ำ Economic Development การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต เช่น โครงการ ‘ส่งเสริมสุขภาวะเยาวชน ภาคใต้’ เพื่อลดปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ด้วยการส่งเสริมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว และโครงการ ‘เชฟรอน พลังใจ พลังคน เพื่อชุมชนเข้มแข็ง’ จัดตั้งธนาคารพัฒนาหมู่บ้านของชุมชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช และสุดท้ายคือด้าน Employee Engagement หรือการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ตลอดจนให้ความช่วยเหลือเมื่อมีวิกฤตต่างๆ เกิดขึ้น รวมถึงวิกฤตโควิด-19 ที่เชฟรอนให้การสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นๆ มาโดยตลอด ภายใต้งบประมาณกว่า 36 ล้านบาท (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2564) ทั้งนี้ เชฟรอนยังมีโครงการอื่นๆ อีกกว่าร้อยโครงการภายใต้กรอบการดำเนินงานด้านสังคมของเชฟรอน เพื่อสร้างการเติบโตของสังคมและการเติบโตขององค์กรไปพร้อมกัน
สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมา 60 ปีนั้น เชฟรอนภูมิใจที่ได้มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของประเทศไทย และขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างรายได้ให้กับภาครัฐในรูปของค่าภาคหลวงรวมแล้วกว่า 551,449 ล้านบาท (16.23 พันล้านเหรียญสหรัฐ)