เขียนเล่าข่าว EP12 วิกฤติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

447
N4421
- Advertisment-

ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยามนี้ ต้องบอกว่าเข้าขั้นวิกฤติ โดยข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 มิ.ย.65 นั้น ติดลบสูงถึง 102,586 ล้านบาท ในขณะที่มีหนี้สินทั้งจากเข้าไปชดเชยราคาดีเซลและLPGรวมแล้ว กว่า 120,976 ล้านบาท โดยเจ้าหนี้เงินชดเชยที่กองทุนน้ำมันยังค้างไว้ก็คือบรรดาโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมัน ที่เดิมมีหน้าที่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุน นั่นเอง

ภาระหนี้ 120,976 ล้านบาทแบ่งเป็นส่วนของหนี้ที่ค้างชดเชยน้ำมันดีเซล 81,861 ล้านบาท และ LPG อีก 39,119 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขยังเดินหน้าทำสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่ากองทุนจะหยุดการชดเชย ปิดกล่องแล้วจึงจะรู้ว่า รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ทำสถิติ กองทุนน้ำมันติดลบ และติดค้างหนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ตัวเลขเท่าไหร่

ซึ่งเมื่อดูโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 29 มิ.ย. 65
กองทุนน้ำมันยังมีภาระที่ต้องเข้าไปชดเชยราคาดีเซล สูงถึงลิตรละ 10.77 บาท และชดเชยราคาLPG อยู่ 12.69 บาทต่อ​กิโลกรัม​

- Advertisment -

ที่บอกว่ากองทุนน้ำมันอยู่ในขั้นวิกฤต ติดค้างหนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องดูว่าบรรดาเจ้าหนี้จะยอมให้ค้างหนี้ได้แค่ไหน และทางเดียวที่กองทุนน้ำมันจะปลดภาระใช้คืนหนี้ดังกล่าวได้ ก็คือการหยุดชดเชยและกลับมาเก็บเงินจากดีเซลเข้ามาเป็นรายได้กองทุนเช่นเดิม ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องยาก เพราะรัฐจะต้องปล่อยให้ดีเซลปรับราคาขึ้นอีกถึง 10 บาทต่อลิตร

ส่วนแนวทางที่จะก่อหนี้โดย กู้เงินจากสถาบันการเงินนั้นคงต้องเลิกคิด เพราะไม่มีสถาบันการเงินรายใดกล้าปล่อยกู้ เนื่องจาก สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ตั้งขึ้นตามพ.ร.บ. เป็นนิติบุคคลที่ไม่ได้เป็นส่วนราชการตามกฏหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินหรือเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฏหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กระทรวงการคลัง จึงไม่สามารถเข้ามาค้ำประกันเงินกู้ได้

ในการออก พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ที่มีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์​ต่างๆที่ทำให้ราคามีความผันผวนไปในทิศทางที่สูงขึ้น ไม่มีใครคิดว่ารัฐบาลจะปล่อยให้กองทุนน้ำมัน ติดลบทะลุเกินแสนล้านทำลายสถิติทุกรัฐบาลที่เคยมีมาแบบนี้ โดยในมาตรา 26 ของกฏหมายนั้นกำหนดกรอบวงเงินให้กู้ได้ไม่เกิน 40,000 ล้านบาท เท่านั้น หากจะกู้เกินกว่านี้ก็ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

อย่างไรก็ตามผลพวงจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เมื่อต้นปี 65 ที่ฉุดให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ในขณะที่รัฐบาลกลัวจะเสียคะแนนนิยมทางการเมืองด้วยเรื่องราคาน้ำมัน จึงต้องตรึงเพดานราคาดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรเอาไว้ให้นานที่สุด กรอบวงเงิน 40,000 ล้าน ที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. จึงถูกปลดล็อคโดยมติ กพช.และมติ ครม.เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 65 ที่ไม่กำหนดเพดานการกู้ และรัฐบาลจะมีการร่างพระราชกฤษฎีกา​ เพื่อแก้ไขกรอบวงเงินดังกล่าวในภายหลัง

ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครคาดการณ์​ได้ว่า ราคาน้ำมันตลาดโลก จะกลับมาอยู่ในช่วงขาลงตอนไหน และ ตัวเลขติดลบ และหนี้ของกองทุนน้ำมัน จะพุ่งขึ้นไปสิ้นสุดที่ตัวเลขใด แต่บอกได้เพียงว่า ช่วงน้ำมันขาลง ผู้ใช้น้ำมันดีเซล จะไม่ได้ใช้น้ำมันถูกลงตามต้นทุนที่ลดลงจริง เพราะคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน.ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน จะต้องไล่เก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อใช้หนี้ให้หมดเสียก่อน

สรุปคือคนใช้ดีเซลนั่นเอง ที่จะเป็นคนมาแก้วิกฤติของกองทุนน้ำมัน ไม่ใช่ใครที่ไหน

Advertisment