ถ้าใครติดตามข่าวน้ำมันดีเซลมาโดยตลอดจะเห็นว่าทุกรัฐบาลในอดีต พยายามใช้กลไกที่มีอยู่ ทั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต รักษาระดับราคาขายปลีกดีเซลเอาไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยในช่วงราคาน้ำมันตลาดโลกขาลง รัฐจะจัดเก็บเงินจากดีเซล เข้าไปสะสมในกองทุนน้ำมันรวมถึงการเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซลในอัตราที่สูงเกินกว่า 5 บาทต่อลิตร ในขณะที่ช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น รัฐจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันที่สะสมไว้ เอาไปตรึงราคาขายปลีกดีเซลให้ค่อยๆขยับราคาขึ้น โดยหากใช้กองทุนน้ำมันช่วยแล้ว แต่ระดับราคายังจะทะลุเกิน 30 บาทต่อลิตร จึงค่อยใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตมาช่วยตรึงเอาไว้
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ฉุดให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนในระดับสูงในช่วงปี 2565 ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศทั้งดีเซลและกลุ่มเบนซิน เป็นอย่างมาก ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่เป็นส่วนผสมในดีเซล ก็ขยับสูงเกินกว่าราคาเนื้อน้ำมันดีเซล สิ่งที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ และรัฐมนตรีพลังงานพยายามดำเนินการคือ การตรึงราคาขายปลีกดีเซลเอาไว้ ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์นั้นปล่อยให้ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาด
แต่ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือน ให้ผลลัพธ์คือ รัฐต้องขยับเพดานราคาขายปลีกดีเซลขึ้นเป็นระยะ จากไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หลังจากที่เงินไหลออกมากจนฐานะที่เคยเป็นบวกมีเงินสะสมไว้หลายหมื่นล้านบาท กลายเป็นกองทุนที่เริ่มติดลบ ติดลบมาก ติดลบมากขึ้น และติดลบมากเป็นประวัติการณ์ ถึง 1.3 แสนล้านบาท จนรัฐต้องใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตมาช่วยเป็นการชั่วคราวประมาณ 5 บาทต่อลิตร และขยายระยะเวลาออกไปหลายครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค. 2566
อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกที่กลับมาอยู่ในช่วงขาลง ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลกลับคืน และทะยอยปรับลดราคาขายปลีกดีเซลลงจาก 35 บาทต่อลิตรเหลือ 32 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันก็เริ่มมีตัวเลขติดลบลดลง โดย ณ วันที่ 16 ก.ค. 2566 กองทุนน้ำมันติดลบเหลือ 49,829 ล้านบาท โดยที่ยังเก็บเงินจากดีเซลเข้ากองทุนอยู่ที่ประมาณ 4.04 บาทต่อลิตร
สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ผ่อนคลายลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ สกนช.ออกมาแจ้งข่าวดีต่อผู้ใช้ดีเซลให้คลายกังวล ว่า ถึงแม้ว่า มาตรการช่วยเหลือด้วยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.2566 แต่รัฐโดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. จะยังคงราคาขายปลีกดีเซลอยู่ที่ 32 บาทต่อลิตรโดยส่วนที่ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจะปรับขึ้น 5 บาทต่อลิตรจะไม่ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น เพราะจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยแทน โดยแม้ว่าฐานะเงินกองทุนน้ำมันจะยังคงติดลบ แต่ สกนช. เชื่อว่ากองทุนยังมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นหลังจากได้เงินกู้ยืมเข้ามาเติมในระบบ และสถานการณ์น่าจะดีขึ้นหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง
มองว่าตัวเลขเพดานราคาดีเซลที่ 32 บาทต่อลิตรจะยังอยู่ในระดับนี้ไปจนกว่า ฐานะกองทุนน้ำมันจะกลับมาเป็นบวกและชำระคืนหนี้เงินกู้ที่มีอยู่ให้หมด ยกเว้นว่ารัฐบาลชุดใหม่จะอยากประชานิยมต่อ กระชากเพดานราคาดีเซลลงมาให้อยู่ที่ระดับ 30 บาทต่อลิตรเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง รัฐบาลก็ต้องช่วยดึงค่าครองชีพทั้งราคาสินค้าและค่าขนส่งที่เคยปรับขึ้นไปเมื่อตอนที่ดีเซลราคา 35 บาทต่อลิตร ให้ปรับลดลงมาด้วยจึงจะเป็นธรรมต่อผู้บริโภค