ค่อนข้างชัดเจนว่าถ้ารัฐบาลใหม่โดยพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่ประกาศช่วงหาเสียงว่าจะเร่งดำเนินการใน 100 วันแรกของการเป็นรัฐบาลคือ การลดราคาน้ำมันดีเซล
มาดูนโยบายการบริหารจัดการราคาน้ำมันดีเซล ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อควบคุมราคาให้อยู่ในเพดานที่รัฐบาลกำหนด และจะส่งต่อให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ มี 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยแบกรับภาระเอาไว้ จนกองทุนติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กว่า 1.3 แสนล้านบาท ก่อนที่จะปรับลดลงมาเหลือประมาณ 7.5 หมื่นล้านในปัจจุบัน
2 การลดภาษีสรรพสามิตดีเซล ลงชั่วคราว 5 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค. 2566 ซึ่งอยู่ในช่วงของรัฐบาลดำเนินการ โดยมาตรการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล ที่ต่ออายุมาโดยตลอดตั้งแต่ ปี 2565 นั้นทำให้รัฐสูญเสียการจัดเก็บรายได้รวมแล้วมากกว่า 2 แสนล้านบาท
และ 3 การขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมัน โดยเฉพาะ โออาร์และ บางจาก ให้ควบคุมค่าการตลาดดีเซล ไม่ให้เกิน1.40 บาทต่อลิตร ก่อนที่จะปลดล็อกมาตรการนี้ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ผลก็คือ เมื่อผู้ค้าน้ำมันได้ค่าการตลาดดีเซลต่ำ ก็ไปบวกเพิ่มค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ มาชดเชยแทน
นโยบายการควบคุมราคาดีเซล ให้ต่ำกว่าเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ยังส่งผลให้ปริมาณการใช้เพิ่มมากขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก ต่อเนื่องผลคือ ประเทศต้องนำเข้าน้ำมันมากขึ้น ในมูลค่าที่สูงขึ้น
ที่ผ่านมาแทบทุกรัฐบาล คุมเพดานราคาดีเซลเอาไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร แต่ผลกระทบที่รุนแรงจากสงครามรัสเซีย -ยูเครน ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น รัฐบาลพลเอกประยุทธ์จำเป็นต้องขยับเพดานราคาดีเซลขึ้นไปเป็นไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร ในขณะที่ช่วงเดียวกันนั้นผู้ใช้แก๊สโซฮอล์ ที่รวมทั้งรถมอเตอร์ไซค์ 22 ล้านคัน ต้องเติมในราคาเกินกว่า 40 บาทต่อลิตร และราคาสินค้าทั้งอุปโภค บริโภค ค่าโดยสาร ค่าขนส่ง ขยับสูงขึ้นตามต้นทุนราคาน้ำมัน
สถานการณ์ราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบันถือว่าดีขึ้นที่ รัฐสามารถปรับลดราคาดีเซลลงมาอยู่ที่ไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร และสามารถเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซล เข้ากองทุนน้ำมัน ที่ช่วยลดฐานะติดลบของ
กองทุนได้อย่างต่อเนื่อง
แล้วนโยบายดีเซล ของรัฐบาลใหม่ จะทำอย่างไรดี
คำตอบของคำถามนี้ อยู่ที่ว่า รัฐบาลใหม่จะกำหนดเพดานราคาดีเซล เอาไว้แค่ไหน ถ้าจะปรับลดลงมาให้เหลือ ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร เช่นเดียวกับที่แทบทุกรัฐบาลดำเนินการ ผลที่จะตามมาก็คือ กองทุนน้ำมันอาจจะต้องทะยอยคืนหนี้ช้าลง ในขณะที่ ภาษีสรรพสามิต จะต้องขยายเวลาการปรับลดภาษีออกไปอีก หรือใช้วิธีทยอยปรับขึ้นทีละขั้น ซึ่งต้องบอกว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกนั้นยังเป็นช่วงขาลงและทรงตัว ไม่มีแรงกดดัน เหมือนที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์เผชิญมาก่อนหน้า
ดังนั้น เชื่อว่า ทันทีที่รัฐบาลใหม่ เข้ามาบริหารประเทศ ราคาน้ำมันดีเซล คงจะขยับลงมาต่ำกว่าระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นเท่าไหร่นั้น อยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ จะเป็นคนเคาะตัวเลข