The Port of Rotterdam โมเดลต้นแบบ Green Port ของท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3
ต่อเนื่องจาก EP ที่ 31 ที่เขียนเล่าถึงภาพรวมการเดินทางร่วมกับ ปตท.และคณะสื่อมวลชนจากประเทศไทย ไปที่เนเธอร์แลนด์ เพื่อศึกษาดูงานทิศทางพลังงานสะอาดในอนาคต
ประเด็นที่น่าสนใจในรายละเอียดสำหรับการดูงานที่ท่าเรือรอตเทอร์ดาม หรือ The Port of Rotterdam ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป คือ การตั้งเป้าหมายเป็น ท่าเรือสีเขียว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Port ซึ่งจะเป็นโมเดลต้นแบบให้กับ ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ที่กลุ่ม ปตท.เข้าไปร่วมลงทุน ที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ผมและคณะสื่อมวลชนได้รับฟังการบรรยายข้อมูลเบื้องต้นจากคุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณ นพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงอัมสเตอร์ดัม ก่อนที่อีกวันถัดมาจะเดินทางไปดูสถานที่จริงที่เมืองรอตเทอร์ดาม อันเป็นสถานที่ตั้งของท่าเรือ
การดูงานที่ท่าเรือ เป็นการนั่งบนรถบัสชมทัศนียภาพ(sightseeing) อาณาเขตของท่าเรือ ที่ทำให้เห็นว่ามีขนาดกว้างใหญ่มาก มองเห็นโรงกลั่นน้ำมัน คลังน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี ของหลายบริษัท พื้นที่ตั้งวางตู้คอนเทนเนอร์สินค้าเรียงรายอยู่จำนวนมาก เห็นแนวเสากังหันลมผลิตไฟฟ้า และ กองถ่านหินสีดำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่มีปล่องสูงปล่อยไอน้ำพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา
หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยว่าท่าเรือที่มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งปล่อยคาร์บอน จะทำให้เป็นท่าเรือสีเขียวได้อย่างไร? อ่านจนจบแล้วจะได้คำตอบครับ
เทศบาลเมืองรอตเทอร์ดามและรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญในท่าเรือแห่งนี้ ได้พัฒนาท่าเรือให้รองรับทั้งสินค้าเหลว LNG สินค้าทั่วไป สินค้าเทกองและตู้คอนเทนเนอร์ และมีพื้นที่ที่รองรับโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน จึงทำให้ท่าเรือรอตเทอร์ดามเป็นด่านการขนส่งสินค้าของทวีปยุโรปที่สำคัญ มีการนำเข้าและส่งออกพลังงานคิดเป็น 13% ของความต้องการพลังงานในทวีปยุโรป
ถึงแม้ว่าปัจจุบันพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในท่าเรือจะยังมีส่วนที่ผลิตมาจากเชื้อเพลิงถ่านหิน แต่ในอนาคต จะมีการลดสัดส่วนไฟฟ้าจากถ่านหินลง โดยจะเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าทั้งจากพลังงานลม และจากโซลาร์เซลล์ให้มากขึ้น และที่สำคัญคือพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายภาคธุรกิจ โดยนอกจากจะใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าได้แล้ว ยังใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆอาทิ น้ำมันอากาศยานอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Aviation Fuel: SAF) และใช้เป็นตัวพาพลังงาน (Energy Carrier) ได้ด้วย
โดยท่าเรือรอตเทอร์ดามตั้งเป้าหมายในการลดการปลดปล่อยคาร์บอนถึง 49% ภายในปี ค.ศ. 2030 เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050
ในการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานเพื่อให้ท่าเรือแห่งนี้เป็นศูนย์กลางด้านพลังงาน Hydrogen ของยุโรป ท่าเรือรอตเทอร์ดาม มีกลยุทธ์สำคัญ 4
เรื่องได้แก่
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อส่งก๊าซ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการจัดส่งพลังงาน
- การพัฒนาการผลิต Green Hydrogen และไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานลม
- การพัฒนาให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงมาเป็นพลังงานไฮโดรเจนและพลังงานสะอาด
- การพัฒนาระบบการขนส่งให้ใช้พลังงานสะอาด ทั้งทางรถ รถไฟ และเรือ
โดยโครงการต่างๆที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด เช่น โครงการท่อก๊าซ พลังงานลมจากกลางทะเล ท่าเรือ Energy Carrier หลุมกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล โรงงานผลิตไฮโดรเจน รถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจน นั้น กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการลงทุน
สำหรับความเชื่อมโยงของท่าเรือรอตเทอร์ดาม กับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ของไทย นั้น คือการมีเป้าหมายเดียวกันสู่การเป็น ท่าเรือสีเขียว (Green Port) ที่จะมีการใช้พลังงานสะอาดและมีระบบจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกัน เพื่อให้สอดรับกับนโยบายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยภายในปี ค.ศ. 2065 ( ช้ากว่ารอตเทอร์ดาม 15 ปี )และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการให้การขนส่งทางทะเลมีการใช้พลังงานสะอาดที่ยั่งยืน ลดการปลดปล่อยคาร์บอน
โดยโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ได้มีการว่าจ้างท่าเรือรอตเทอร์ดาม ให้เป็นที่ปรึกษา เพื่อจะมาช่วยออกแบบให้เป็น Green Port ในอนาคต
สำหรับโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศให้เพิ่มขึ้นในอนาคต และเป็นจุดกระจายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาค เพื่อมุ่งสู่การเป็นท่าเรือชั้นนำของโลก โดยในมูลค่าการลงทุนที่คาดว่าจะสูงถึงประมาณ 114,000 ล้านบาท นั้นจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าจากปัจจุบัน 11 ล้านทีอียูต่อปี (ทีอียู คือ เทียบเท่าตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต) เป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับรถยนต์จากปัจจุบัน 2 ล้านคันต่อปี เป็น 3 ล้านคันต่อปี รวมถึงมีโครงสร้างพื้นที่ที่รองรับการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) ทั้งทาง รถ รถไฟ และเรืออย่างครบวงจร กำหนดจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี พ.ศ. 2568
สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ให้เป็น Green Port มี 6 เรื่องดังนี้
- การใช้พลังงานไฟฟ้า สำหรับอุปกรณ์เครื่องจักรภายในท่าเรือ
- การใช้แบตเตอรี่สำหรับรถบรรทุกไฟฟ้า และการพัฒนาเทคโนโลยีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่
- การใช้พลังงานทางเลือก เช่น แสงอาทิตย์ ลม Hydrogen Fuel cell
- การเปลี่ยนระบบการขนส่ง จากรถบรรทุกเป็นรถไฟและเรือ มากยิ่งขึ้น
- การใช้ระบบ IT Intelligence ในการจัดการพลังงานและการจราจรภายในท่าเรือ
- การบริหารจัดการของเสีย และรีไซเคิลน้ำภายในท่าเรือ
กลุ่ม ปตท. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนในโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F โดยจัดตั้งบริษัท GPC International Terminal ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ บริษัท PTT Tank ถือหุ้นในสัดส่วน 30% โดยเป็นโครงการที่เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership) ระหว่าง บริษัท GPC International Terminal และการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นระยะเวลา 35 ปี มีมูลค่าการลงทุนร่วมกันในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างหน้าท่าประมาณ 30,000 ล้านบาท
โดยในส่วนของท่าเทียบเรือ F สามารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ได้อย่างน้อย 4,000,000 ทีอียูต่อปี เพื่อรองรับการนำเข้าและส่งออกตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เป็นท่าเรือที่มีความลึกมากที่สุดของท่าเรือแหลมฉบังที่ความลึก 18.5 เมตร สามารถรองรับเรือขนส่งขนาดใหญ่ได้ถึง 23,000 ทีอียู โดยจะมีการพัฒนาโครงการโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการบริหารจัดการท่าเรือและการจัดการพลังงาน รวมถึงใช้เทคโนโลยีพลังงานที่สะอาด เพื่อมุ่งสู่ความเป็น Green Port ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของ ปตท. ในการขยายธุรกิจด้าน Logistics & Infrastructure พร้อมทั้งสนับสนุนการเติบโตของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และลดการปลดปล่อยคาร์บอนมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ
ปัจจุบัน การท่าเรือแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการถมทะเลในพื้นที่โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และบริษัท GPC อยู่ระหว่างการออกแบบและจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการขอใบอนุญาตก่อสร้างของท่าเทียบเรือ F ซึ่งคาดว่าการท่าเรือแห่งประเทศไทย จะสามารถส่งมอบพื้นที่ถมทะเลได้ภายในปี พ.ศ. 2566 และบริษัท GPC จะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างหน้าท่าเทียบเรือและจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี พ.ศ. 2568
อดใจรออีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไทยก็จะมี Green Port เทียบชั้นได้กับ The Port of Rotterdam ของประเทศเนเธอร์แลนด์
–
–